เมื่อกินแป้งเข้าไปร่างกายและไม่ถูกใช้จะเปลี่ยนเป็นอะไร

เมื่อแป้งเกินความต้องการ: การเดินทางของพลังงานที่เหลือใช้ในร่างกาย

เราทุกคนรู้ดีว่าแป้งเป็นแหล่งพลังงานหลักของร่างกาย ข้าวสวย ขนมปัง มันฝรั่ง ล้วนแล้วแต่ให้พลังงานในรูปของคาร์โบไฮเดรต แต่เมื่อเรารับประทานแป้งเข้าไปมากเกินกว่าที่ร่างกายต้องการใช้ในกิจกรรมประจำวัน มันจะเกิดอะไรขึ้นกับพลังงานส่วนเกินเหล่านั้น? คำตอบไม่ได้ซับซ้อนอย่างที่คิด แต่มีความน่าสนใจซ่อนอยู่เบื้องหลังกระบวนการทางชีวเคมีที่น่าทึ่ง

เมื่อเราทานอาหารที่มีแป้ง ระบบย่อยอาหารจะย่อยสลายคาร์โบไฮเดรตให้กลายเป็นน้ำตาลกลูโคส น้ำตาลกลูโคสนี้จะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด และเป็นแหล่งพลังงานหลักสำหรับเซลล์ต่างๆ ในร่างกาย เราใช้พลังงานนี้ในการเคลื่อนไหว การทำงานของอวัยวะ และกระบวนการเมแทบอลิซึมต่างๆ

แต่ถ้าหากเรารับประทานแป้งเข้าไปมากกว่าที่ร่างกายต้องการใช้ ร่างกายจะมีกลไกในการจัดการกับน้ำตาลกลูโคสส่วนเกินนี้ กลไกแรกคือการเปลี่ยนน้ำตาลกลูโคสส่วนเกินให้เป็นไกลโคเจน ไกลโคเจนเป็นสารสะสมพลังงานในรูปของคาร์โบไฮเดรต คล้ายกับการ “เก็บ” พลังงานไว้ใช้ในอนาคต ไกลโคเจนจะถูกสะสมไว้ในตับและกล้ามเนื้อ เพื่อนำมาใช้เป็นพลังงานในยามที่ร่างกายต้องการ เช่น ในช่วงออกกำลังกายหนักๆ หรือเมื่อร่างกายขาดแคลนพลังงานจากแหล่งอื่น

อย่างไรก็ตาม ความจุในการสะสมไกลโคเจนของร่างกายนั้นมีจำกัด ถ้าเรารับประทานแป้งและน้ำตาลมากเกินไป จนไกลโคเจนเต็มที่แล้ว ร่างกายจะเปลี่ยนน้ำตาลกลูโคสส่วนเกินให้เป็นไขมัน ไขมันเป็นสารสะสมพลังงานที่มีประสิทธิภาพกว่าไกลโคเจน สามารถสะสมได้ในปริมาณมากขึ้น และเก็บพลังงานได้นานขึ้น กระบวนการเปลี่ยนน้ำตาลกลูโคสเป็นไขมันนี้ จะทำให้เกิดการสะสมไขมันตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย นำไปสู่ภาวะน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วน ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของโรคเรื้อรังต่างๆ เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ และความดันโลหิตสูง

ดังนั้น การบริโภคแป้งที่พอเหมาะจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อสุขภาพ การรับประทานอาหารที่หลากหลาย มีสมดุล ควบคุมปริมาณแป้งและน้ำตาล รวมถึงการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้ร่างกายใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และป้องกันการสะสมไขมันส่วนเกิน เพื่อสุขภาพที่ดีและแข็งแรงในระยะยาว