ใครคือผู้พัฒนาเทคนิค SQ3R

8 การดู

เพิ่มพลังการอ่านของคุณด้วยเทคนิค SQ3R! เริ่มจากสำรวจ (Survey) ตั้งคำถาม (Question) อ่าน (Read) ทบทวน (Recite) และทดสอบ (Review) วิธีนี้ช่วยให้เข้าใจ จดจำ และนำความรู้ไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ. ลองใช้ SQ3R เพื่อประสบการณ์การอ่านที่เหนือกว่า!

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

เหนือชั้นกว่าการอ่านธรรมดา: ผู้บุกเบิกเทคนิค SQ3R คือใคร?

เทคนิค SQ3R เป็นเครื่องมือทรงพลังที่ช่วยยกระดับประสิทธิภาพการอ่านอย่างเห็นได้ชัด วิธีการที่เน้นการมีส่วนร่วมอย่างแข็งขัน ประกอบด้วย 5 ขั้นตอนหลัก คือ สำรวจ (Survey) ตั้งคำถาม (Question) อ่าน (Read) ทบทวน (Recite) และทดสอบ (Review) ทำให้ผู้เรียนเข้าใจเนื้อหาได้ลึกซึ้ง จดจำได้นานขึ้น และสามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่เคยสงสัยกันไหมว่า ผู้คิดค้นเทคนิคการอ่านอันชาญฉลาดนี้คือใคร?

คำตอบคือ Francis Pleasant Robinson นักจิตวิทยาการศึกษาชาวอเมริกัน เขาได้พัฒนาและเผยแพร่เทคนิค SQ3R ในหนังสือชื่อ Effective Study ซึ่งตีพิมพ์ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1946 ผลงานของ Robinson ไม่เพียงแต่เป็นการรวบรวมวิธีการอ่านที่ดีอยู่แล้วเท่านั้น แต่ยังเป็นการจัดระบบและสร้างขั้นตอนที่เป็นระบบ ทำให้ผู้เรียนสามารถนำไปใช้ได้อย่างเป็นรูปธรรม และได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจน

ความสำคัญของ SQ3R อยู่ที่การเปลี่ยนการอ่านจากกระบวนการรับสารแบบพาสซีฟ มาเป็นกระบวนการที่ผู้เรียนมีส่วนร่วมอย่างแอคทีฟ ตั้งแต่การสำรวจเนื้อหาเบื้องต้น การตั้งคำถามเพื่อชี้นำการอ่าน การอ่านอย่างมีเป้าหมาย การทบทวนเพื่อย้ำความเข้าใจ และสุดท้ายการทดสอบตัวเองเพื่อประเมินประสิทธิภาพ ทุกขั้นตอนนี้ถูกออกแบบมาเพื่อกระตุ้นการคิดวิเคราะห์ การเชื่อมโยงความรู้ และการจดจำอย่างมีประสิทธิภาพ

แม้เวลาผ่านมากว่า 70 ปี เทคนิค SQ3R ยังคงได้รับความนิยมและพิสูจน์ประสิทธิภาพมาอย่างต่อเนื่อง การปรับใช้ให้เข้ากับสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น การอ่านแบบดิจิทัล ก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นและความสำคัญของเทคนิคนี้ ดังนั้น ครั้งต่อไปที่คุณต้องอ่านหนังสือ บทความ หรือเอกสารใดๆ ลองนำเทคนิค SQ3R ของ Francis Pleasant Robinson มาใช้ คุณอาจพบว่าการอ่านของคุณเปลี่ยนไปอย่างน่าทึ่ง

บทความนี้ได้นำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับผู้พัฒนาเทคนิค SQ3R โดยเน้นถึงความสำคัญและความทันสมัยของเทคนิคนี้ เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาการอ่านและการเรียนรู้ให้ดียิ่งขึ้น ช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจถึงที่มาและประโยชน์ของเทคนิคนี้ได้อย่างชัดเจน และกระตุ้นให้ผู้อ่านลองนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน