โครงสร้างของกิจการที่นิยมใช้มีอะไรบ้าง

1 การดู

หากคุณกำลังมองหาโครงสร้างองค์กรที่เหมาะสม ลองพิจารณาแบบ Projectized ที่เน้นโครงการเป็นหลัก ซึ่งช่วยให้ทีมมีความคล่องตัวและมุ่งเน้นเป้าหมายเฉพาะได้ดี หรือโครงสร้าง Network ที่เชื่อมโยงองค์กรกับผู้เชี่ยวชาญภายนอก เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นและความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

โครงสร้างกิจการยอดนิยม: เลือกแบบไหนให้เหมาะกับธุรกิจคุณ?

การเลือกโครงสร้างกิจการที่เหมาะสมเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จของธุรกิจ โครงสร้างที่แข็งแกร่งจะช่วยให้การดำเนินงานราบรื่น สื่อสารภายในองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ และส่งเสริมการเติบโตอย่างยั่งยืน บทความนี้จะพาคุณไปสำรวจโครงสร้างกิจการยอดนิยม เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจเลือกแบบที่เหมาะสมกับธุรกิจของคุณมากที่สุด

นอกเหนือจากโครงสร้างแบบ Projectized และ Network ที่เน้นความคล่องตัวและความเชี่ยวชาญ ยังมีโครงสร้างอื่นๆ ที่ได้รับความนิยมและมีข้อดีแตกต่างกันไป ได้แก่:

1. โครงสร้างแบบลำดับชั้น (Hierarchical Structure): เป็นโครงสร้างแบบดั้งเดิมที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย มีลักษณะเป็นลำดับชั้นที่ชัดเจน อำนาจการตัดสินใจอยู่ที่ระดับบนสุด และแบ่งงานกันทำตามสายงานอย่างเป็นระบบ ข้อดีคือ มีความชัดเจนในบทบาทหน้าที่ ควบคุมได้ง่าย แต่ข้อเสียคือ อาจทำให้การสื่อสารล่าช้าและขาดความยืดหยุ่น

2. โครงสร้างแบบแบนราบ (Flat Structure): เป็นโครงสร้างที่ลดระดับชั้นลง ทำให้การสื่อสารรวดเร็วขึ้น พนักงานมีส่วนร่วมในการตัดสินใจมากขึ้น และส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ เหมาะกับธุรกิจขนาดเล็กหรือ Startup ที่ต้องการความคล่องตัวสูง แต่ข้อเสียคือ อาจเกิดความสับสนในบทบาทหน้าที่ได้หากไม่มีการกำหนดขอบเขตที่ชัดเจน

3. โครงสร้างแบบเมทริกซ์ (Matrix Structure): เป็นโครงสร้างที่ผสมผสานข้อดีของโครงสร้างแบบลำดับชั้นและแบบแบนราบ พนักงานจะรายงานต่อผู้จัดการมากกว่าหนึ่งคน เช่น รายงานต่อทั้งผู้จัดการฝ่ายและผู้จัดการโครงการ ข้อดีคือ ใช้ทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพ และส่งเสริมการทำงานร่วมกัน แต่ข้อเสียคือ อาจเกิดความขัดแย้งในการสั่งการได้หากไม่มีการกำหนดบทบาทและความรับผิดชอบที่ชัดเจน

4. โครงสร้างแบบวงกลม (Circular Structure): เป็นโครงสร้างที่เน้นความเท่าเทียมกัน โดยให้ผู้นำอยู่ตรงกลางและพนักงานอยู่รอบๆ ส่งเสริมการสื่อสารที่เปิดกว้างและการทำงานร่วมกัน เหมาะกับธุรกิจที่ต้องการความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม แต่ข้อเสียคือ อาจขาดความชัดเจนในลำดับชั้นการบังคับบัญชา

5. โครงสร้างแบบเครือข่าย (Network Structure): ดังที่กล่าวไปข้างต้น โครงสร้างนี้เน้นการเชื่อมโยงกับองค์กรภายนอก เช่น ผู้เชี่ยวชาญ ซัพพลายเออร์ และพันธมิตรทางธุรกิจ ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน แต่ข้อเสียคือ อาจควบคุมคุณภาพและความสอดคล้องของงานได้ยาก

6. โครงสร้างแบบโครงการ (Projectized Structure): เช่นเดียวกัน โครงสร้างนี้เน้นการจัดทีมตามโครงการ ทำให้ทีมงานมีความคล่องตัวและมุ่งเน้นเป้าหมายเฉพาะได้ดี แต่ข้อเสียคือ อาจเกิดการซ้ำซ้อนของทรัพยากรหากไม่มีการบริหารจัดการที่ดี

การเลือกโครงสร้างกิจการที่เหมาะสมควรพิจารณาจากหลายปัจจัย เช่น ขนาดของธุรกิจ ลักษณะของอุตสาหกรรม วัฒนธรรมองค์กร และเป้าหมายทางธุรกิจ ไม่มีโครงสร้างใดที่สมบูรณ์แบบ ดังนั้น ควรวิเคราะห์และปรับเปลี่ยนโครงสร้างให้สอดคล้องกับสถานการณ์ของธุรกิจอยู่เสมอ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายและเติบโตอย่างยั่งยืน.