SET 50 กับ 100 ต่างกันอย่างไร

2 การดู

ดัชนี SET50 สะท้อนการเคลื่อนไหวของหุ้นขนาดใหญ่ 50 บริษัทชั้นนำของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ส่วนดัชนี SET100 ครอบคลุมบริษัทขนาดใหญ่กว่า โดยรวมหุ้น 100 บริษัท การลงทุนใน SET100 จึงมีความหลากหลายมากกว่า แต่ความผันผวนอาจสูงกว่า SET50 เล็กน้อย

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

SET50 vs. SET100: เลือกดัชนีไหนให้ตรงใจนักลงทุน

เมื่อพูดถึงการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) นักลงทุนหลายท่านคงคุ้นเคยกับดัชนี SET50 และ SET100 แต่ทราบหรือไม่ว่าดัชนีทั้งสองมีความแตกต่างกันอย่างไร และเหมาะกับสไตล์การลงทุนแบบไหน? บทความนี้จะเจาะลึกถึงความแตกต่างของทั้งสองดัชนี เพื่อให้นักลงทุนสามารถตัดสินใจเลือกดัชนีที่เหมาะสมกับเป้าหมายและระดับความเสี่ยงของตนเองได้อย่างชาญฉลาด

SET50: หัวเรือใหญ่ของตลาด

ดัชนี SET50 เปรียบเสมือน “หัวเรือใหญ่” ที่แสดงถึงภาพรวมการเคลื่อนไหวของหุ้นขนาดใหญ่ 50 บริษัทแรกของตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยคัดเลือกจากบริษัทที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization) สูงสุด สภาพคล่องในการซื้อขายสูง และมีคุณสมบัติตามเกณฑ์ที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ กำหนด ดัชนีนี้จึงเป็นตัวแทนที่ดีในการวัดผลตอบแทนและประเมินสถานการณ์ของตลาดหุ้นโดยรวม

SET100: ขยายขอบเขตการลงทุนให้กว้างขึ้น

ในขณะที่ SET50 เน้นไปที่บริษัทขนาดใหญ่ที่สุด 50 อันดับแรก ดัชนี SET100 จะขยายขอบเขตให้ครอบคลุมบริษัทขนาดใหญ่อีก 50 บริษัท ทำให้มีหุ้นทั้งหมด 100 บริษัทในดัชนีนี้ การเพิ่มจำนวนหุ้นในดัชนีหมายถึงการกระจายความเสี่ยงที่มากขึ้น และโอกาสในการลงทุนในหลากหลายอุตสาหกรรมมากขึ้น

ความแตกต่างที่น่าสนใจ:

  • ความหลากหลาย: SET100 มีความหลากหลายของหุ้นมากกว่า SET50 เนื่องจากครอบคลุมจำนวนบริษัทที่มากกว่า ทำให้ลดความเสี่ยงจากการกระจุกตัวของหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมใดกลุ่มอุตสาหกรรมหนึ่ง
  • ความผันผวน: โดยทั่วไป SET100 อาจมีความผันผวนสูงกว่า SET50 เล็กน้อย เนื่องจากมีหุ้นขนาดกลางที่มีการเคลื่อนไหวของราคาที่อาจรวดเร็วกว่าหุ้นขนาดใหญ่
  • สภาพคล่อง: หุ้นใน SET50 มักจะมีสภาพคล่องในการซื้อขายสูงกว่าหุ้นใน SET100 เนื่องจากเป็นหุ้นขนาดใหญ่ที่นักลงทุนนิยมซื้อขายกันอย่างแพร่หลาย
  • การลงทุน: นักลงทุนสามารถลงทุนในดัชนีทั้งสองได้ผ่านกองทุนรวมดัชนี (Index Fund) หรือกองทุนรวม ETF (Exchange Traded Fund) ที่อ้างอิงกับดัชนีนั้นๆ

เลือกดัชนีไหนให้ตอบโจทย์:

  • นักลงทุนที่ต้องการลงทุนในบริษัทขนาดใหญ่ที่มั่นคง: SET50 อาจเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม เนื่องจากเน้นไปที่หุ้นที่มีขนาดใหญ่และสภาพคล่องสูง
  • นักลงทุนที่ต้องการกระจายความเสี่ยงและลงทุนในหลากหลายอุตสาหกรรม: SET100 อาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า เพราะมีจำนวนหุ้นที่มากกว่าและครอบคลุมหลากหลายธุรกิจ
  • นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ปานกลางและต้องการผลตอบแทนที่สูงขึ้น: SET100 อาจเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ เนื่องจากมีความผันผวนที่สูงกว่า SET50 เล็กน้อย แต่ก็มีโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้นเช่นกัน

สรุป:

การเลือกระหว่าง SET50 และ SET100 ขึ้นอยู่กับเป้าหมายการลงทุน ระดับความเสี่ยงที่รับได้ และความเข้าใจในลักษณะของดัชนีแต่ละตัว นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด และปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการเงิน เพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุนอย่างรอบคอบ การลงทุนที่ดีคือการลงทุนที่เหมาะสมกับตนเอง และสามารถบรรลุเป้าหมายทางการเงินที่ตั้งไว้ได้