น้ำหนักลงแบบไหนเรียกผิดปกติ

1 การดู

การลดน้ำหนักอย่างรวดเร็วโดยไม่ตั้งใจ อาจส่งสัญญาณถึงปัญหาสุขภาพ เช่น ไทรอยด์เป็นพิษ เบาหวาน หรือภาวะซึมเศร้า หากน้ำหนักลดฮวบโดยไม่ทราบสาเหตุ ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจหาความผิดปกติและรับการรักษาอย่างเหมาะสม

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

น้ำหนักลงแบบไหนเรียกผิดปกติ? สัญญาณเตือนภัยที่ไม่ควรมองข้าม

การลดน้ำหนักเป็นเป้าหมายของใครหลายคน แต่การที่น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วโดยไม่ได้ตั้งใจ หรือไม่ได้ควบคุมอาหารและออกกำลังกาย อาจไม่ใช่เรื่องน่ายินดีเสมอไป ในทางตรงกันข้าม อาจเป็นสัญญาณเตือนภัยถึงปัญหาสุขภาพที่ซ่อนอยู่ ซึ่งหากปล่อยทิ้งไว้ อาจส่งผลเสียร้ายแรงได้ แล้วน้ำหนักลงแบบไหนถึงเรียกว่าผิดปกติ? บทความนี้มีคำตอบ

โดยทั่วไป การลดน้ำหนักที่ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปลอดภัย คือการลดน้ำหนักไม่เกิน 0.5-1 กิโลกรัมต่อสัปดาห์ หรือประมาณ 1-2% ของน้ำหนักตัวต่อสัปดาห์ หากน้ำหนักลดลงมากกว่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อไม่ได้ตั้งใจลด หรือไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการกินและการออกกำลังกาย นั่นอาจเป็นสัญญาณของความผิดปกติที่ควรต้องระวัง

สัญญาณเตือน “น้ำหนักลดผิดปกติ” ที่ควรปรึกษาแพทย์:

  • ลดน้ำหนักเกิน 5% ของน้ำหนักตัวภายใน 6-12 เดือน: เช่น คนที่มีน้ำหนัก 60 กิโลกรัม ลดลง 3 กิโลกรัม ภายใน 6 เดือนโดยไม่ทราบสาเหตุ
  • น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วโดยไม่ทราบสาเหตุ: แม้จะรับประทานอาหารตามปกติ หรือมากกว่าปกติ แต่น้ำหนักก็ยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง
  • น้ำหนักลดลงพร้อมกับอาการอื่นๆ: เช่น เหนื่อยล้า อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร มีไข้ เหงื่อออกตอนกลางคืน ไอเรื้อรัง ท้องเสียเรื้อรัง กลืนลำบาก ฯลฯ

สาเหตุของการลดน้ำหนักผิดปกติ:

การลดน้ำหนักผิดปกติอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น

  • ปัญหาเกี่ยวกับระบบเผาผลาญ: เช่น โรคไทรอยด์เป็นพิษ เบาหวานชนิดที่ 1
  • ปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร: เช่น โรคโครห์น ลำไส้แปรปรวน โรคมะเร็งลำไส้
  • การติดเชื้อ: เช่น วัณโรค HIV พยาธิ
  • ปัญหาสุขภาพจิต: เช่น ภาวะซึมเศร้า วิตกกังวล โรคอะนอเร็กเซีย เนอร์โวซา
  • ผลข้างเคียงจากยาบางชนิด: ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรหากสงสัยว่ายาที่รับประทานอยู่ทำให้เกิดน้ำหนักลด
  • ปัญหาสุขภาพอื่นๆ: เช่น โรคหัวใจ โรคปอด โรคไต ฯลฯ

อย่านิ่งนอนใจหากพบว่าตนเองมีอาการน้ำหนักลดลงผิดปกติ การปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุและรับการรักษาอย่างทันท่วงที เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น และทำให้กลับมามีสุขภาพแข็งแรงได้อีกครั้ง อย่าลืมว่า “การป้องกันย่อมดีกว่าการรักษา” เสมอ