ทําไมเวลาลูบผิวถึงรู้สึกเจ็บแปล๊บๆ

สัมผัสเจ็บแปล๊บๆ บนผิวหนัง: สัญญาณเตือนที่ไม่ควรมองข้าม

การสัมผัสผิวหนังเบาๆ แล้วรู้สึกเจ็บแปล๊บๆ เป็นอาการที่หลายคนอาจเคยพบเจอ แต่บางครั้งอาการนี้ไม่ได้เกิดจากสาเหตุเล็กน้อยอย่างที่คิด ความเจ็บปวดแบบฉับพลันที่เกิดขึ้นเมื่อสัมผัสผิวหนังอาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงปัญหาสุขภาพที่ซ่อนอยู่ ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการตรวจสอบและรักษาอย่างถูกต้อง

สาเหตุของอาการเจ็บแปล๊บๆ เมื่อสัมผัสผิวหนังนั้นมีความหลากหลาย โดยสามารถแบ่งได้เป็นกลุ่มใหญ่ๆ ดังนี้:

1. ปัญหาเกี่ยวกับระบบประสาท:

• ปลายประสาทอักเสบ (Neuropathy): เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุด ความเสียหายหรือการอักเสบของเส้นประสาทส่งผลให้เกิดความไวต่อการสัมผัสมากขึ้น ทำให้รู้สึกเจ็บแปล๊บๆ หรือแสบร้อนแม้เพียงการสัมผัสเบาๆ สาเหตุของปลายประสาทอักเสบอาจเกิดจากโรคเบาหวาน โรคไต โรคต่อมไทรอยด์ การขาดวิตามิน หรือการติดเชื้อ อาการอาจแตกต่างกันไปตามตำแหน่งของเส้นประสาทที่ได้รับผลกระทบ

• ความผิดปกติในการรับความรู้สึกของเส้นประสาท (Sensory Neuropathy): นอกจากความเจ็บปวดแล้ว อาจมีอาการชา รู้สึกเสียวซ่า หรือรู้สึกเหมือนมีมดไต่ ความผิดปกตินี้สามารถเกิดขึ้นได้หลายสาเหตุ เช่น โรคทางระบบประสาท การบาดเจ็บ หรือผลข้างเคียงจากยาบางชนิด

• โรคงูสวัด (Shingles): แม้ว่าอาการเด่นชัดของโรคงูสวัดจะเป็นผื่นคันและปวดแสบร้อนตามแนวเส้นประสาท แต่ในระยะเริ่มต้น อาจมีอาการเจ็บแปล๊บๆ บนผิวหนังก่อนที่ผื่นจะปรากฏ การวินิจฉัยโรคงูสวัดควรทำโดยแพทย์เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม มิฉะนั้น อาจส่งผลกระทบระยะยาวต่อระบบประสาท

2. ปัญหาอื่นๆ:

• ความผิดปกติของสมอง: ในบางกรณี อาการเจ็บแปล๊บๆ เมื่อสัมผัสผิวหนังอาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงความผิดปกติของสมอง เช่น โรคหลอดเลือดสมอง หรือโรคเกี่ยวกับระบบประสาทส่วนกลาง แต่กรณีนี้มักจะมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น ชา อ่อนแรง พูดลำบาก หรือสูญเสียความทรงจำ

• โรคผิวหนังบางชนิด: แม้ว่าจะน้อยกว่า แต่โรคผิวหนังบางชนิด เช่น โรคสะเก็ดเงิน หรือโรคผิวหนังภูมิแพ้ ก็อาจทำให้ผิวหนังไวต่อการสัมผัสมากขึ้น และรู้สึกเจ็บแปล๊บๆ ได้

หากคุณพบอาการเจ็บแปล๊บๆ เมื่อลูบผิวหนัง และอาการไม่ดีขึ้น หรือมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย ควรปรึกษาแพทย์ทันที การวินิจฉัยที่ถูกต้องจะช่วยให้แพทย์สามารถกำหนดสาเหตุและวางแผนการรักษาที่เหมาะสม การรักษาจะขึ้นอยู่กับสาเหตุของอาการ อาจรวมถึงการใช้ยา การทำกายภาพบำบัด หรือการรักษาอื่นๆ อย่าเพิกเฉยต่ออาการนี้ เพราะการรักษาที่รวดเร็วจะช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนในระยะยาวได้

หมายเหตุ: บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้เบื้องต้นเท่านั้น ไม่ใช่คำแนะนำทางการแพทย์ หากคุณมีข้อสงสัยหรือกังวลเกี่ยวกับสุขภาพของคุณ โปรดปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ เพื่อรับคำแนะนำและการรักษาที่เหมาะสมกับสภาพร่างกายของคุณ