ทำไมถึงเรียก2โมงเช้า

0 การดู

สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงกำหนดวิธีเรียกเวลาแบบไทยในปี พ.ศ. 2399 โดยกลางวันเรียกว่า โมง ตั้งแต่ 1 โมง ถึง 6 โมง ส่วนกลางคืนเรียกว่า ทุ่ม ตั้งแต่ 1 ทุ่ม ถึง 6 ทุ่ม

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

ทำไมถึงเรียก “2 โมงเช้า”: การเดินทางของเวลาจาก “โมง” ถึง “ทุ่ม”

การบอกเวลาในภาษาไทยมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยใช้คำว่า “โมง” และ “ทุ่ม” เพื่อระบุช่วงเวลาในแต่ละวัน การที่เราเรียกเวลาช่วงเช้าว่า “2 โมงเช้า” นั้น มีที่มาที่ไปที่น่าสนใจ ซึ่งเชื่อมโยงกับการปฏิรูปการบอกเวลาในสมัยรัชกาลที่ 4

ก่อนจะเจาะลึกถึง “2 โมงเช้า” เราต้องเข้าใจบริบทการบอกเวลาแบบดั้งเดิมเสียก่อน สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงเล็งเห็นความสำคัญของการกำหนดระบบการบอกเวลาที่เป็นมาตรฐาน เพื่อให้การสื่อสารและการบริหารราชการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ในปี พ.ศ. 2399 พระองค์จึงทรงกำหนดวิธีการเรียกเวลาแบบไทยขึ้นใหม่ โดยแบ่งวันออกเป็นสองช่วงหลัก: ช่วงกลางวัน และช่วงกลางคืน

“โมง” สำหรับกลางวัน:

คำว่า “โมง” ถูกใช้สำหรับช่วงเวลากลางวัน เริ่มต้นตั้งแต่ 7 นาฬิกาเช้า (1 โมงเช้า) ไปจนถึง 12 นาฬิกาเที่ยงวัน (6 โมงเช้า) จากนั้นวนกลับมาที่ 13 นาฬิกาบ่าย (1 โมงบ่าย) ไปจนถึง 18 นาฬิกาเย็น (6 โมงเย็น)

ดังนั้น “2 โมงเช้า” จึงหมายถึงเวลา 8 นาฬิกา ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สองนับจาก 7 นาฬิกา ซึ่งเป็น “1 โมงเช้า” นั่นเอง

“ทุ่ม” สำหรับกลางคืน:

ในส่วนของช่วงเวลากลางคืน คำว่า “ทุ่ม” ถูกนำมาใช้ โดยเริ่มต้นที่ 19 นาฬิกา (1 ทุ่ม) ไปจนถึง 24 นาฬิกา (6 ทุ่ม)

ทำไมต้อง “โมง” และ “ทุ่ม”:

การใช้คำว่า “โมง” และ “ทุ่ม” สันนิษฐานว่ามีที่มาจากเสียงของเครื่องบอกเวลาในสมัยโบราณ ซึ่งอาจเป็นเสียงฆ้อง หรือเสียงกลองที่ตีเป็นสัญญาณบอกเวลา โดยการตีสัญญาณเหล่านี้อาจมีลักษณะแตกต่างกันในช่วงเวลากลางวันและกลางคืน จนกลายเป็นที่มาของคำเรียกขานที่แตกต่างกัน

ความสำคัญของการปฏิรูป:

การปฏิรูปการบอกเวลาในสมัยรัชกาลที่ 4 ไม่ได้เป็นเพียงแค่การกำหนดคำศัพท์ใหม่ แต่เป็นการสร้างมาตรฐานที่ช่วยให้การสื่อสารและการบริหารราชการมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น ระบบการบอกเวลาแบบ “โมง” และ “ทุ่ม” ยังคงสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน และเป็นส่วนหนึ่งของเอกลักษณ์ทางภาษาและวัฒนธรรมไทยที่น่าภาคภูมิใจ

สรุป:

การเรียก “2 โมงเช้า” จึงไม่ใช่เพียงแค่การบอกเวลา แต่เป็นการสะท้อนถึงประวัติศาสตร์และวิวัฒนาการของภาษาไทย รวมถึงพระปรีชาสามารถของพระมหากษัตริย์ที่ทรงเล็งเห็นถึงความสำคัญของการสร้างระบบที่เป็นมาตรฐานเพื่อประโยชน์สุขของราษฎร