องค์การ ที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ แตก ต่าง กัน อย่างไร

13 การดู

องค์กรอย่างเป็นทางการดำเนินงานด้วยโครงสร้างชัดเจน มีกฎระเบียบและขั้นตอนการทำงานที่เป็นระบบ มุ่งสู่เป้าหมายร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ ต่างจากองค์กรไม่เป็นทางการที่เกิดจากการรวมกลุ่มโดยธรรมชาติ การทำงานยืดหยุ่น ไร้โครงสร้างที่เข้มงวด เน้นความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลเป็นหลัก

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

องค์กรอย่างเป็นทางการกับองค์กรไม่เป็นทางการ: เส้นแบ่งที่เลือนรางแต่มีความหมาย

องค์กรเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการดำรงอยู่และการพัฒนาของสังคม ไม่ว่าจะเป็นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ การสร้างนวัตกรรม หรือการสร้างชุมชน แต่องค์กรเหล่านั้นไม่ได้มีรูปแบบเดียวกันเสมอไป เราสามารถแบ่งองค์กรออกเป็นสองประเภทหลักๆ ได้แก่ องค์กรอย่างเป็นทางการและองค์กรไม่เป็นทางการ แม้ว่าทั้งสองประเภทนี้จะมีจุดมุ่งหมายร่วมกันคือการทำงานร่วมกันเพื่อบรรลุเป้าหมาย แต่ก็มีความแตกต่างที่สำคัญในด้านโครงสร้าง การดำเนินงาน และวัฒนธรรมองค์กร

องค์กรอย่างเป็นทางการ (Formal Organization): เปรียบเสมือนเครื่องจักรกลขนาดใหญ่ที่ทำงานด้วยระบบ ทุกส่วนประกอบทำงานประสานกันอย่างมีประสิทธิภาพตามแผนที่วางไว้ องค์กรอย่างเป็นทางการมีลักษณะเด่นดังนี้:

  • โครงสร้างที่ชัดเจน: มีลำดับชั้นการบริหารที่กำหนดไว้อย่างชัดเจน หน้าที่ความรับผิดชอบของแต่ละตำแหน่งถูกระบุไว้อย่างละเอียด มีแผนภูมิองค์กรที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างส่วนงานต่างๆ
  • กฎระเบียบและขั้นตอนการทำงานที่เป็นระบบ: การทำงานทุกอย่างต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบและขั้นตอนที่กำหนดไว้ เพื่อให้แน่ใจว่างานจะดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับเป้าหมายขององค์กร มีเอกสารบันทึกการทำงานอย่างเป็นระบบ
  • เป้าหมายที่ชัดเจนและวัดผลได้: องค์กรอย่างเป็นทางการมีเป้าหมายที่ชัดเจน สามารถวัดผลได้ และมีกลไกในการติดตามความก้าวหน้า เพื่อให้แน่ใจว่าองค์กรกำลังมุ่งหน้าไปสู่ความสำเร็จตามที่วางแผนไว้
  • การสื่อสารที่เป็นทางการ: การสื่อสารภายในองค์กรมักใช้ช่องทางอย่างเป็นทางการ เช่น อีเมล หนังสือราชการ การประชุมอย่างเป็นทางการ เพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลถูกต้องและเข้าใจตรงกัน

ตัวอย่างขององค์กรอย่างเป็นทางการ ได้แก่ บริษัทข้ามชาติ องค์กรภาครัฐ โรงเรียน มหาวิทยาลัย

องค์กรไม่เป็นทางการ (Informal Organization): แตกต่างจากองค์กรอย่างเป็นทางการอย่างสิ้นเชิง องค์กรไม่เป็นทางการเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติจากการรวมกลุ่มของบุคคลที่มีความสัมพันธ์กัน ไม่จำเป็นต้องมีโครงสร้างที่เข้มงวด และมักเน้นความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลมากกว่า

  • โครงสร้างที่ยืดหยุ่น: ไม่มีลำดับชั้นการบริหารที่ตายตัว การทำงานมีความยืดหยุ่น ขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์และความไว้วางใจระหว่างสมาชิก
  • การสื่อสารแบบไม่เป็นทางการ: การสื่อสารภายในกลุ่มมักเกิดขึ้นอย่างไม่เป็นทางการ เช่น การพูดคุยกัน การแลกเปลี่ยนข้อมูลผ่านทางโซเชียลมีเดีย
  • เป้าหมายที่ไม่ชัดเจนหรือไม่มีเป้าหมายที่เป็นรูปธรรม: เป้าหมายขององค์กรไม่เป็นทางการอาจไม่ชัดเจน หรืออาจเป็นเพียงการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกัน การให้การสนับสนุนซึ่งกันและกัน
  • อิทธิพลของความสัมพันธ์ส่วนตัว: ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลมีความสำคัญอย่างยิ่ง การทำงานร่วมกันขึ้นอยู่กับความไว้วางใจ ความเข้าใจ และความผูกพันระหว่างสมาชิก

ตัวอย่างขององค์กรไม่เป็นทางการ ได้แก่ กลุ่มเพื่อน กลุ่มคนที่มีความสนใจร่วมกัน กลุ่มชุมชนเล็กๆ กลุ่มคนที่ทำงานในแผนกเดียวกันแต่มีการสร้างเครือข่ายความสัมพันธ์กันนอกเหนือจากงานที่ได้รับมอบหมาย

แม้ว่าองค์กรอย่างเป็นทางการและองค์กรไม่เป็นทางการจะดูแตกต่างกันอย่างชัดเจน แต่ในความเป็นจริงแล้วทั้งสองประเภทนี้มักจะอยู่ร่วมกันและมีอิทธิพลต่อกันและกัน องค์กรอย่างเป็นทางการอาจมีองค์กรไม่เป็นทางการอยู่ภายใน ซึ่งสามารถทั้งช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ และส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการทำงาน การเข้าใจถึงความแตกต่างและความสัมพันธ์ระหว่างสองประเภทนี้ จึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้บริหารในการบริหารจัดการองค์กรให้มีประสิทธิภาพสูงสุด