กระดูกพรุน ตรวจอะไรบ้าง

2 การดู

เสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง ด้วยการออกกำลังกายแบบรับน้ำหนักเป็นประจำ ควบคู่กับการรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยแคลเซียม วิตามินดี และโปรตีน เพื่อลดความเสี่ยงการเกิดภาวะกระดูกพรุน และช่วยให้กระดูกแข็งแรงตลอดอายุ ปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจวัดความหนาแน่นของกระดูก และวางแผนดูแลสุขภาพที่เหมาะสม

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

กระดูกพรุน ตรวจอะไรบ้าง

กระดูกพรุนเป็นภาวะที่กระดูกบางและเปราะง่ายลง ทำให้เกิดการแตกหักได้ง่าย โดยเฉพาะกระดูกในส่วนสะโพก กระดูกสันหลัง และข้อมือ สาเหตุของกระดูกพรุนเกิดจากการที่ร่างกายสร้างมวลกระดูกใหม่ได้น้อยกว่าการสลายตัวของมวลกระดูกเดิม

อาการของกระดูกพรุน

ในระยะแรกของกระดูกพรุนมักจะไม่แสดงอาการใดๆ แต่เมื่อกระดูกเริ่มบางและเปราะ ข้อแสดงอาจเกิดขึ้นได้ ดังนี้

  • ปวดกระดูก โดยเฉพาะที่บริเวณหลังหรือสะโพก
  • ส่วนสูงลดลง
  • หลังค่อม
  • กระดูกหักง่ายแม้จะได้รับแรงกระแทกเพียงเล็กน้อย

ปัจจัยเสี่ยงของกระดูกพรุน

มีปัจจัยหลายประการที่เพิ่มความเสี่ยงของการเกิดกระดูกพรุน ได้แก่

  • เพศ: ผู้หญิงมีความเสี่ยงสูงกว่าผู้ชาย
  • อายุ: กระดูกจะบางลงตามอายุ
  • เชื้อชาติ: คนผิวขาวและชาวเอเชียมีความเสี่ยงสูงกว่าคนผิวดำ
  • ประวัติครอบครัว: หากมีสมาชิกในครอบครัวเป็นกระดูกพรุน
  • การใช้ยาบางชนิด เช่น สเตียรอยด์และยาต้านการชัก
  • พฤติกรรมการใช้ชีวิต: เช่น การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์ การขาดการออกกำลังกาย และการรับประทานอาหารที่ขาดแคลเซียมและวิตามินดี

การตรวจวินิจฉัยกระดูกพรุน

การตรวจวินิจฉัยกระดูกพรุนทำได้โดยการตรวจความหนาแน่นของกระดูก (BMD) ซึ่งเป็นการตรวจที่ใช้รังสีเอกซ์ในปริมาณต่ำเพื่อวัดความหนาแน่นของกระดูก การตรวจ BMD สามารถทำได้ที่กระดูกสันหลัง สะโพก หรือบริเวณอื่นๆ ของร่างกาย

การป้องกันและรักษากระดูกพรุน

การป้องกันและรักษาภาวะกระดูกพรุนสามารถทำได้โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตและรับประทานยา ดังนี้

  • พฤติกรรมการใช้ชีวิต: ออกกำลังกายแบบรับน้ำหนักเป็นประจำ รับประทานอาหารที่มีแคลเซียมและวิตามินดีในปริมาณที่เพียงพอ งดสูบบุหรี่ และลดการดื่มแอลกอฮอล์
  • ยา: มีหลายประเภทที่ใช้รักษาภาวะกระดูกพรุน ได้แก่ ยาบิสฟอสโฟเนต ยาดีโนซูแมบ และยาฮอร์โมนทดแทน

การปฏิบัติตนหลังได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นกระดูกพรุน

  • ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
  • รับประทานอาหารที่มีแคลเซียมและวิตามินดีในปริมาณที่เพียงพอ
  • ออกกำลังกายแบบรับน้ำหนักเป็นประจำ
  • ปรึกษาแพทย์เป็นประจำเพื่อติดตามผลการรักษาและปรับแผนการรักษาตามความจำเป็น