กินยาแล้วคลื่นไส้เกิดจากอะไร

2 การดู

อาการคลื่นไส้หลังรับประทานยาอาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น การระคายเคืองทางเดินอาหารจากองค์ประกอบของยา หรือปฏิกิริยาของร่างกายต่อสารออกฤทธิ์ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรหากอาการรุนแรงขึ้น หรือมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เพื่อรับคำแนะนำในการรับประทานยาอย่างถูกวิธีและปลอดภัย รวมถึงการปรับเปลี่ยนชนิดหรือขนาดยา หากจำเป็น

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

สาเหตุของอาการคลื่นไส้อันเนื่องมาจากการรับประทานยา

อาการคลื่นไส้ที่เกิดขึ้นหลังจากรับประทานยาเป็นอาการข้างเคียงที่พบบ่อย ซึ่งอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ ดังนี้

  • การระคายเคืองต่อระบบทางเดินอาหาร: องค์ประกอบบางอย่างในยา เช่น ยาแอสไพรินหรือยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) อาจทำให้เกิดการระคายเคืองต่อเยื่อบุกระเพาะอาหารและลำไส้ ส่งผลให้เกิดอาการคลื่นไส้ได้

  • ปฏิกิริยาต่อสารออกฤทธิ์: สารออกฤทธิ์ในยาบางชนิด เช่น ยาคีโมบำบัดหรือยาปฏิชีวนะ อาจกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสารที่ทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ เช่น เซโรโทนิน

  • ผลกระทบโดยตรงต่อศูนย์กลางการอาเจียนในสมอง: ยาบางชนิดอาจไปออกฤทธิ์โดยตรงที่ศูนย์กลางการอาเจียนในสมอง ซึ่งเป็นส่วนของสมองที่ควบคุมอาการอาเจียนและคลื่นไส้

  • ปฏิสัมพันธ์ของยา: การใช้ยาหลายชนิดร่วมกันอาจส่งผลให้เกิดการปฏิสัมพันธ์ที่ทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ได้

อาการที่ต้องระวัง

แม้ว่าอาการคลื่นไส้หลังรับประทานยาโดยทั่วไปไม่ใช่ภาวะที่รุนแรง แต่ก็ควรสังเกตอาการผิดปกติต่อไปนี้เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน:

  • คลื่นไส้รุนแรงหรือไม่หายไป
  • อาเจียนอย่างรุนแรงหรือไม่สามารถควบคุมได้
  • มีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น เวียนศีรษะ สับสน หรืออ่อนแรง

สิ่งที่ควรทำ

หากมีอาการคลื่นไส้หลังรับประทานยา แนะนำให้ทำดังนี้:

  • หยุดรับประทานยาและปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรโดยเร็วที่สุด
  • ดื่มน้ำเปล่ามากๆ เพื่อป้องกันการขาดน้ำ
  • หลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสเผ็ดหรือมีไขมันสูง
  • รับประทานอาหารอ่อนๆ เช่น ข้าวต้มหรือโจ๊ก
  • นอนพักผ่อนให้เพียงพอ

การป้องกัน

เพื่อป้องกันอาการคลื่นไส้อันเนื่องมาจากการรับประทานยา อาจทำได้โดย:

  • รับประทานยากับอาหารหรือหลังอาหาร
  • แบ่งขนาดยาออกเป็นโดสที่เล็กลงและรับประทานบ่อยขึ้น
  • บ้วนปากด้วยน้ำเปล่าหลังรับประทานยาที่มีรสขมหรือแสบร้อน
  • ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรเกี่ยวกับวิธีลดอาการคลื่นไส้ที่เหมาะสม