จะรุ้ได้งัยว่าติดเขื้อทางเดินปัสาวะ

5 การดู

อาการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะอาจรวมถึงปวดท้อง ปวดหลังส่วนล่าง ปวดข้างๆ ปวดอุ้งเชิงกราน ปัสสาวะมีกลิ่นเหม็นขุ่น ปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะแสบร้อน และกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ หากพบอาการเหล่านี้ ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาอย่างทันท่วงที

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

รู้ได้อย่างไรว่าคุณกำลังเผชิญกับภัยเงียบ “ติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ”

ติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ (Urinary Tract Infection: UTI) อาจเป็นปัญหาสุขภาพที่พบได้บ่อยกว่าที่คุณคิด แม้จะเป็นโรคที่สามารถรักษาได้ง่าย แต่การละเลยอาการในช่วงเริ่มต้นอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงได้ ดังนั้น การรู้จักสังเกตอาการและเข้ารับการรักษาอย่างทันท่วงทีจึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง

อาการของ UTI นั้นมีความหลากหลาย บางคนอาจมีอาการรุนแรงชัดเจน ในขณะที่บางคนอาจมีอาการเพียงเล็กน้อยและมองข้ามไป ความรุนแรงของอาการขึ้นอยู่กับตำแหน่งของการติดเชื้อ เช่น การติดเชื้อที่กระเพาะปัสสาวะ (cystitis) จะมีอาการต่างจากการติดเชื้อที่ไต (pyelonephritis) ซึ่งรุนแรงกว่ามาก

อาการที่บ่งบอกถึงการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ ได้แก่:

  • ปัสสาวะบ่อยและปริมาณน้อย: อาการนี้เป็นสัญญาณที่พบได้บ่อยที่สุด คุณอาจรู้สึกปัสสาวะบ่อยกว่าปกติ แม้ปริมาณปัสสาวะแต่ละครั้งจะน้อย
  • ปัสสาวะแสบร้อนหรือปวดแสบปวดร้อน: นี่เป็นอาการสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม ความรู้สึกแสบร้อนหรือปวดขณะปัสสาวะอาจรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
  • ปัสสาวะเปลี่ยนสีและกลิ่น: ปัสสาวะอาจขุ่นมัว มีสีขุ่นคล้ายน้ำนม หรือมีกลิ่นเหม็นผิดปกติ อาจมีสีแดงหรือชมพูจากการปนเปื้อนของเลือด
  • ปวดบริเวณท้องน้อยหรืออุ้งเชิงกราน: ความรู้สึกเจ็บปวดหรือไม่สบายตัวบริเวณท้องน้อยหรืออุ้งเชิงกราน อาจมีอาการปวดหลังส่วนล่างร่วมด้วย
  • มีไข้และหนาวสั่น: หากการติดเชื้อลุกลามไปยังไต อาจมีอาการไข้สูง หนาวสั่น และรู้สึกอ่อนเพลียอย่างรุนแรง ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนว่าควรไปพบแพทย์โดยทันที
  • รู้สึกปวดข้างๆหรือด้านข้างลำตัว: อาการนี้มักบ่งบอกถึงการติดเชื้อที่ไต (pyelonephritis) ซึ่งเป็นภาวะที่ร้ายแรงกว่าการติดเชื้อกระเพาะปัสสาวะ
  • กลั้นปัสสาวะไม่อยู่: บางรายอาจมีอาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ โดยเฉพาะในเด็กเล็ก ซึ่งเป็นอาการที่ควรได้รับการตรวจสอบโดยแพทย์โดยเร็ว

สิ่งสำคัญ: หากคุณพบอาการใดๆ ดังกล่าวข้างต้น ควรไปพบแพทย์หรือพยาบาลเพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงที อย่าพยายามรักษาเองด้วยวิธีการต่างๆ เพราะอาจทำให้การติดเชื้อรุนแรงขึ้นและยากต่อการรักษา แพทย์จะทำการตรวจปัสสาวะเพื่อยืนยันการติดเชื้อและกำหนดวิธีการรักษาที่เหมาะสม ซึ่งอาจรวมถึงการใช้ยาปฏิชีวนะ

การป้องกันที่ดีที่สุดคือการดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ รักษาสุขอนามัยส่วนตัวที่ดี และปัสสาวะให้หมดทุกครั้งหลังจากการใช้ห้องน้ำ การดูแลสุขภาพอย่างสม่ำเสมอจะช่วยลดโอกาสในการเกิด UTI และทำให้คุณมีสุขภาพที่ดีขึ้น

หมายเหตุ: บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้เบื้องต้นเท่านั้น ไม่ใช่คำแนะนำทางการแพทย์ หากคุณมีข้อสงสัยหรือกังวลเกี่ยวกับอาการใดๆ โปรดปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์