ฉี่ยังไงเป็นเบาหวาน

เบาหวานถามหา…รู้ทันก่อนสายเกินแก้

โรคเบาหวานเป็นโรคเรื้อรังที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันอย่างมาก หลายคนอาจเข้าใจว่าเป็นเพียงแค่ “ปัสสาวะบ่อย” แต่ความจริงแล้วอาการเบาหวานซ่อนเร้นกว่านั้น การรู้จักสังเกตอาการตั้งแต่เนิ่นๆ จึงเป็นกุญแจสำคัญในการควบคุมโรคและลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง

ใช่แล้ว ปัสสาวะบ่อยและปริมาณมากเป็นอาการที่สังเกตได้ง่าย เพราะร่างกายพยายามกำจัดน้ำตาลกลูโคสส่วนเกินที่ไตกรองไม่ได้ออกทางปัสสาวะ การขับน้ำตาลออกไปพร้อมกับน้ำปริมาณมาก ทำให้รู้สึกกระหายน้ำอย่างต่อเนื่อง เป็นวงจรที่ทำให้ต้องดื่มน้ำบ่อยขึ้น และปัสสาวะบ่อยขึ้นอีก โดยเฉพาะในเวลากลางคืน ซึ่งเรียกว่า “นิชชา” (Nocturia) นี่คือสัญญาณเตือนที่ชัดเจนอย่างหนึ่ง

แต่ไม่ใช่แค่เพียงปัสสาวะบ่อยเท่านั้น อาการเบาหวานยังแฝงตัวอยู่ในรายละเอียดอื่นๆ ที่อาจมองข้ามได้ง่าย เช่น

• ความหิวบ่อยและกินจุมากขึ้น (Polyphagia): แม้จะทานอาหารไปมากแล้ว ร่างกายก็ยังไม่รู้สึกอิ่ม เนื่องจากเซลล์ไม่สามารถนำน้ำตาลกลูโคสเข้าไปใช้เป็นพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ร่างกายจึงส่งสัญญาณความหิวเพื่อเรียกร้องพลังงานเพิ่มเติม

• น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วโดยไม่ทราบสาเหตุ: แม้จะทานอาหารมากขึ้น แต่กลับน้ำหนักลดลงอย่างผิดปกติ เนื่องจากร่างกายเผาผลาญไขมันและกล้ามเนื้อเพื่อทดแทนพลังงานที่ขาดหายไป

• รู้สึกอ่อนเพลียและเหนื่อยล้ามาก: การขาดพลังงานจากกลูโคสทำให้ร่างกายทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ส่งผลให้รู้สึกอ่อนล้า เหนื่อยง่าย แม้จะพักผ่อนเพียงพอแล้วก็ตาม

• มองไม่ชัดหรือสายตาพร่ามัว: ระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงขึ้นส่งผลต่อเลนส์ในดวงตา ทำให้มองเห็นภาพไม่ชัดเจน ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่เรียกว่า เบาหวานขึ้นตา

• แผลหายช้ากว่าปกติ: การไหลเวียนของเลือดที่ไม่ดี รวมถึงระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอลง ทำให้แผลเล็กๆ น้อยๆ หายช้ากว่าคนปกติ และเสี่ยงต่อการติดเชื้อ

• รู้สึกชาหรือปวดที่มือและเท้า: ภาวะแทรกซ้อนทางระบบประสาท อาจทำให้รู้สึกชา ปวด หรือรู้สึกเหมือนถูกมดกัดที่ปลายนิ้วมือและเท้า

หากคุณพบอาการเหล่านี้ ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยโดยเร็วที่สุด อย่าชะล่าใจ เพราะการตรวจเลือดเพื่อวัดระดับน้ำตาลในเลือดเป็นวิธีที่ง่ายและแม่นยำที่สุดในการยืนยันการเป็นโรคเบาหวาน การรักษาที่ทันท่วงทีจะช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ป้องกันภาวะแทรกซ้อน และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในระยะยาว

ข้อควรระวัง: บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับอาการเบาหวาน ไม่ใช่คำแนะนำทางการแพทย์ ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับการวินิจฉัยและวางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับตนเอง