ซีสต์ในรังไข่กับPCOSต่างกันอย่างไร

2 การดู

PCOS ไม่ใช่แค่มีซีสต์ในรังไข่ แต่เป็นภาวะฮอร์โมนไม่สมดุลที่ส่งผลต่อการทำงานของรังไข่โดยรวม ทำให้เกิดซีสต์หลายใบ ประจำเดือนผิดปกติ และอาจมีปัญหาสุขภาพอื่นๆ ตามมา ซึ่งต่างจากซีสต์ในรังไข่ทั่วไปที่อาจเกิดขึ้นและหายไปได้เองโดยไม่ส่งผลต่อฮอร์โมน

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

ซีสต์ในรังไข่กับ PCOS: ความแตกต่างที่ควรรู้

หลายคนมักเข้าใจผิดว่าซีสต์ในรังไข่กับภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ (PCOS) คือสิ่งเดียวกัน ความจริงแล้วทั้งสองภาวะนี้มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน แม้ว่าจะมีความเกี่ยวข้องกันบ้างก็ตาม บทความนี้จะอธิบายความแตกต่างระหว่างซีสต์ในรังไข่และ PCOS เพื่อให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ และรู้เท่าทันสุขภาพของตนเอง

ซีสต์ในรังไข่ คือ ถุงน้ำที่เกิดขึ้นภายในหรือบนรังไข่ ส่วนใหญ่เป็นซีสต์ชนิดใช้งานได้ (Functional cyst) ซึ่งมักเกิดขึ้นระหว่างรอบเดือน ซีสต์ประเภทนี้มักไม่เป็นอันตรายและหายไปได้เองภายในไม่กี่เดือนโดยไม่ต้องรักษา ซีสต์ชนิดนี้อาจทำให้รู้สึกไม่สบายบ้างเล็กน้อย เช่น ปวดท้องน้อย แต่โดยทั่วไปมักไม่แสดงอาการใดๆ และไม่ส่งผลกระทบต่อฮอร์โมนหรือการตกไข่

ในทางตรงกันข้าม PCOS หรือภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ คือ ภาวะความผิดปกติของระบบต่อมไร้ท่อ ซึ่งส่งผลต่อการทำงานของรังไข่โดยตรง PCOS ไม่ได้มีแค่ซีสต์ในรังไข่เท่านั้น แต่ยังมีลักษณะสำคัญอื่นๆ ร่วมด้วย ได้แก่

  • ความไม่สมดุลของฮอร์โมน: ผู้หญิงที่เป็น PCOS มักมีระดับฮอร์โมนเพศชาย (แอนโดรเจน) สูงกว่าปกติ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการตกไข่ ทำให้เกิดซีสต์ขนาดเล็กจำนวนมากในรังไข่ และอาจทำให้ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอหรือขาดหายไป
  • ประจำเดือนผิดปกติ: อาการที่พบบ่อยที่สุดของ PCOS คือ ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ มาช้า หรือขาดหายไปเป็นเวลานาน ซึ่งเป็นผลมาจากการตกไข่ที่ผิดปกติ
  • อาการอื่นๆ: นอกจากซีสต์ในรังไข่และประจำเดือนผิดปกติแล้ว PCOS ยังอาจทำให้เกิดอาการอื่นๆ ได้อีก เช่น ขนดก สิว ผมร่วง น้ำหนักเพิ่ม และผิวคล้ำบริเวณข้อพับต่างๆ

สรุปคือ ซีสต์ในรังไข่ทั่วไปมักไม่เป็นอันตรายและหายไปได้เอง ในขณะที่ PCOS เป็นภาวะเรื้อรังที่เกิดจากความไม่สมดุลของฮอร์โมน ซึ่งส่งผลต่อการทำงานของรังไข่และอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพอื่นๆ เช่น ภาวะมีบุตรยาก เบาหวานชนิดที่ 2 และโรคหัวใจและหลอดเลือด ดังนั้น หากคุณมีอาการผิดปกติเกี่ยวกับประจำเดือน หรือสงสัยว่าตนเองอาจเป็น PCOS ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสมต่อไป การตรวจวินิจฉัย PCOS จำเป็นต้องอาศัยการซักประวัติ ตรวจร่างกาย ตรวจเลือดเพื่อดูระดับฮอร์โมน และอาจต้องทำอัลตราซาวด์เพื่อดูลักษณะของรังไข่ อย่าปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้รับการรักษา เพราะ PCOS อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาวได้