ตา มัว เกิด จาก อะไร ได้ บ้าง

2 การดู

ข้อมูลแนะนำใหม่:

สายตาพร่ามัวเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ นอกเหนือจากโรคทางตา เช่น ต้อกระจก หรือต้อหินแล้ว โรคประจำตัวบางชนิดอย่างเบาหวานหรือไมเกรนก็ส่งผลต่อการมองเห็นได้เช่นกัน นอกจากนี้ ปัจจัยภายนอกอย่างตาแห้ง หรือการใส่คอนแทคเลนส์เป็นเวลานาน ก็อาจเป็นต้นเหตุของอาการได้เช่นกัน

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

มองเห็นไม่ชัด…ตาพร่ามัว เกิดจากอะไรได้บ้าง? รู้เท่าทัน ป้องกันแต่เนิ่นๆ

อาการตาพร่ามัว เป็นอาการที่หลายคนเคยเจอ อาจเป็นชั่วคราว หรือเป็นต่อเนื่องจนรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน สาเหตุของอาการนี้มีความหลากหลาย และไม่ได้จำกัดอยู่แค่ปัญหาเกี่ยวกับสายตาเพียงอย่างเดียว การทำความเข้าใจถึงปัจจัยต่างๆ ที่อาจเป็นต้นเหตุ จะช่วยให้เราดูแลสุขภาพดวงตาได้อย่างเหมาะสม และเข้ารับการรักษาได้อย่างทันท่วงที

นอกเหนือจากโรคทางตาที่คุ้นเคย:

หลายคนอาจคุ้นเคยกับโรคทางตาที่ทำให้เกิดอาการตาพร่ามัว เช่น ต้อกระจก (Cataract) ที่เลนส์แก้วตาขุ่นมัว ทำให้มองเห็นภาพไม่ชัดเจน หรือ ต้อหิน (Glaucoma) ที่เกิดจากความดันในลูกตาสูงขึ้น ทำให้เส้นประสาทตาถูกทำลาย ส่งผลให้การมองเห็นค่อยๆ แคบลง แต่สาเหตุของอาการตาพร่ามัวไม่ได้จำกัดอยู่แค่นั้น ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ควรพิจารณา ดังนี้

โรคประจำตัวที่ไม่ควรมองข้าม:

  • เบาหวาน (Diabetes): ระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงเกินไป สามารถทำลายหลอดเลือดขนาดเล็กในจอประสาทตา (Diabetic Retinopathy) ทำให้การมองเห็นพร่ามัว หรือสูญเสียการมองเห็นได้
  • ไมเกรน (Migraine): อาการปวดหัวไมเกรน มักมาพร้อมกับอาการทางสายตา เช่น เห็นแสงวูบวาบ มองเห็นภาพบิดเบี้ยว หรือตาพร่ามัว
  • ความดันโลหิตสูง (Hypertension): ความดันโลหิตสูงที่ไม่ได้รับการควบคุม สามารถทำลายหลอดเลือดในดวงตา ทำให้เกิดการมองเห็นที่ผิดปกติ
  • โรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง (Autoimmune Diseases): โรคบางชนิด เช่น โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid Arthritis) หรือ โรคเอสแอลอี (SLE) อาจส่งผลกระทบต่อดวงตา ทำให้เกิดอาการตาแห้ง ตาแดง หรือตาพร่ามัว

ปัจจัยภายนอกที่ส่งผลกระทบ:

  • ตาแห้ง (Dry Eye): การที่ดวงตาผลิตน้ำตาไม่เพียงพอ หรือคุณภาพน้ำตาไม่ดี จะทำให้ผิวดวงตาแห้งและระคายเคือง ส่งผลให้มองเห็นไม่ชัดเจน
  • การใส่คอนแทคเลนส์เป็นเวลานาน: การใส่คอนแทคเลนส์นานเกินไป หรือการดูแลรักษาคอนแทคเลนส์ที่ไม่ถูกต้อง อาจทำให้เกิดการติดเชื้อ ระคายเคือง หรือขาดออกซิเจน ทำให้ตาพร่ามัว
  • การใช้สายตามากเกินไป: การจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ หรือโทรศัพท์มือถือเป็นเวลานาน โดยไม่พักสายตา อาจทำให้เกิดอาการตาล้า ตาแห้ง และตาพร่ามัว
  • ยาบางชนิด: ยาบางชนิดอาจมีผลข้างเคียงทำให้เกิดอาการตาพร่ามัว เช่น ยาแก้แพ้ ยาแก้ซึมเศร้า หรือยาลดความดันโลหิต
  • การได้รับสารพิษ: การสัมผัสกับสารเคมี หรือสารพิษบางชนิด อาจทำให้เกิดอาการตาพร่ามัว

เมื่อไหร่ควรไปพบแพทย์?

หากคุณมีอาการตาพร่ามัวอย่างต่อเนื่อง รบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน หรือมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น ปวดตา ตาแดง เห็นแสงวูบวาบ หรือสูญเสียการมองเห็น ควรปรึกษาจักษุแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาที่เหมาะสม การตรวจพบและรักษาแต่เนิ่นๆ จะช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง และรักษาสุขภาพดวงตาให้ดีไปนานๆ

ดูแลดวงตาของคุณง่ายๆ:

  • พักสายตาเป็นระยะๆ เมื่อต้องใช้สายตาเป็นเวลานาน
  • กะพริบตาบ่อยๆ เพื่อลดอาการตาแห้ง
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสายตา เช่น ผักใบเขียว ผลไม้ที่มีวิตามินเอ และโอเมก้า 3
  • หลีกเลี่ยงการขยี้ตา
  • ปกป้องดวงตาจากแสงแดดด้วยการสวมแว่นกันแดด
  • ตรวจสุขภาพดวงตาเป็นประจำ

การดูแลสุขภาพดวงตาเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม การรู้จักสาเหตุของอาการตาพร่ามัว และปฏิบัติตามคำแนะนำ จะช่วยให้คุณมีดวงตาที่สดใส มองเห็นชัดเจนไปตลอดชีวิต