ถ้าฉีดยาโดนเส้นประสาทจะเป็นยังไง

เมื่อปลายเข็มสัมผัสเส้นประสาท: ภัยเงียบที่อาจเกิดขึ้นได้จากการฉีดยา

การฉีดยา ถือเป็นหัตถการทางการแพทย์ที่พบได้บ่อย ช่วยให้การรักษาโรคต่างๆ มีประสิทธิภาพและรวดเร็วยิ่งขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นกระบวนการที่ดูเหมือนจะไม่ซับซ้อน แต่ก็แฝงไปด้วยความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้เช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “การฉีดยาโดนเส้นประสาท”

แม้โอกาสเกิดขึ้นจะน้อย แต่ผลกระทบที่ตามมานั้น อาจรุนแรงและส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันของผู้ป่วยได้

เมื่อปลายเข็มสัมผัสเส้นประสาท: เกิดอะไรขึ้น?

ภายในร่างกายของมนุษย์ประกอบไปด้วยเส้นประสาทมากมาย คอยทำหน้าที่ส่งสัญญาณจากสมองไปยังส่วนต่างๆ และจากส่วนต่างๆ กลับมายังสมอง การที่ปลายเข็มแทงไปโดนเส้นประสาทโดยตรง จึงส่งผลต่อการส่งสัญญาณดังกล่าว ก่อให้เกิดอาการผิดปกติต่างๆ ตามมาได้ เช่น

• เจ็บจี๊ด ร้อนวูบวาบ หรือรู้สึกเหมือนไฟช็อต: ในขณะที่กำลังฉีดยา เกิดจากปลายเข็มสัมผัสโดนเส้นประสาทโดยตรง
• ชา บริเวณที่ฉีดยาหรือบริเวณโดยรอบ: หลังจากการฉีดยา เกิดจากเส้นประสาทได้รับความเสียหาย
• กล้ามเนื้ออ่อนแรง: เกิดขึ้นได้หากเส้นประสาทที่ถูกเข็มแทง ควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อมัดนั้นๆ

นอกจากอาการดังกล่าวแล้ว การฉีดยาโดนเส้นประสาทยังอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงอื่นๆ ได้อีก เช่น

• รอยช้ำหรือเลือดออกใต้ผิวหนัง: เกิดขึ้นได้จากการที่ปลายเข็มแทงทะลุเส้นเลือด
• การติดเชื้อ: แม้จะเป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้น้อย แต่ก็สามารถเกิดขึ้นได้หากไม่ได้มีการเตรียมบริเวณที่ทำการฉีดยาอย่างถูกวิธี
• เกิดพังผืดรัดเส้นประสาท: เป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้น้อยมาก แต่หากเกิดขึ้นแล้ว อาจส่งผลให้มีอาการปวด ชา หรืออ่อนแรงเรื้อรังได้

ข้อควรปฏิบัติหลังการฉีดยา

• สังเกตอาการผิดปกติ: หลังการฉีดยา ควรสังเกตอาการตัวเอง หากพบความผิดปกติ เช่น ปวด ชา อ่อนแรง บริเวณที่ฉีด หรือมีอาการรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ควรรีบไปพบแพทย์ทันที
• แจ้งประวัติแพ้ยาหรือโรคประจำตัว: ก่อนได้รับการฉีดยา ควรแจ้งประวัติแพ้ยา โรคประจำตัว หรือยาที่รับประทานอยู่ ให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบทุกครั้ง

แม้การฉีดยาจะเป็นหัตถการทางการแพทย์ที่พบได้บ่อย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีความเสี่ยงแฝงอยู่ ดังนั้นการเลือกสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐาน แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ รวมถึงการดูแลตัวเองหลังการฉีดยาอย่างถูกวิธี จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยลดความเสี่ยง และทำให้การรักษาเป็นไปอย่างปลอดภัยมากยิ่งขึ้น

หมายเหตุ: บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลความรู้ทั่วไปเท่านั้น ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ทดแทนการวินิจฉัย การรักษา หรือคำแนะนำจากแพทย์ หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับสุขภาพ ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ