ทำยังไงถึงจะหายจากโรคกระเพาะ

จุกแน่นทรมาน แสบแสบปั่นป่วน… บอกลาโรคกระเพาะ เริ่มต้นที่ “พฤติกรรม”

โรคกระเพาะ เป็นปัญหาสุขภาพยอดฮิตของคนไทย ที่สร้างความทรมานจากอาการปวดแสบปวดร้อน จุกแน่นท้อง จนไปถึงคลื่นไส้อาเจียน หากปล่อยป้ายไว้อาจลุกลามเป็นแผลในกระเพาะอาหารได้

แม้ว่าการรักษาโรคกระเพาะจะมีทั้งการใช้ยา การปรับพฤติกรรม แต่หัวใจสำคัญของการรักษาให้หายขาด คือ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “พฤติกรรมการกิน”

มาเริ่มต้นบอกลาโรคกระเพาะ ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมง่ายๆ ดังนี้

1. แบ่งมื้ออาหารเป็นมื้อย่อยๆ 5-6 มื้อต่อวัน : การกินอาหารปริมาณมากๆ ในคราวเดียว จะเป็นการเพิ่มภาระในการย่อยอาหารให้กับกระเพาะอาหาร เปลี่ยนมากินอาหารปริมาณน้อยๆ แต่บ่อยครั้ง จะช่วยลดการระคายเคืองของกระเพาะอาหารได้

2. เคี้ยวอาหารให้ละเอียด : การเคี้ยวอาหารอย่างละเอียด นอกจากจะช่วยให้เรารับรู้รสชาติอาหารได้มากขึ้นแล้ว ยังช่วยให้กระเพาะอาหารย่อยอาหารได้ง่ายขึ้น ลดโอกาสเกิดลมในท้อง และลดอาการจุกแน่นได้

3. หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด : อาหารรสจัด เปรี้ยวจัด เผ็ดจัด เค็มจัด ล้วนเป็นตัวกระตุ้นให้กระเพาะอาหารหลั่งกรดออกมามากเกินไป ทำให้อาการของโรคกำเริบ

4. ลด ละ เลิก อาหารมันจัด : อาหารมันจัด ย่อยยาก กระเพาะอาหารต้องทำงานหนักขึ้น ส่งผลให้อาการจุกแน่น ท้องอืด แสบร้อนกลางอก กำเริบได้ง่าย

5. งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ : แอลกอฮอล์ เป็นตัวทำลายเยื่อบุกระเพาะอาหารโดยตรง ยิ่งดื่มมาก ยิ่งทำลายมาก เสี่ยงต่อการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร

6. เลิกบุหรี่อย่างเด็ดขาด : สารนิโคตินในบุหรี่ มีผลต่อการทำงานของระบบย่อยอาหาร ทำให้กระเพาะอาหารผลิตกรดมากขึ้น เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคกระเพาะอาหาร

7. หลีกเลี่ยงยาแอสไพริน : ยาแอสไพริน เป็นยาที่ต้องระมัดระวังในการใช้ เพราะมีฤทธิ์ระคายเคืองกระเพาะอาหาร หากจำเป็นต้องใช้ยา ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อน

8. พักผ่อนให้เพียงพอ : การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ ส่งผลเสียต่อสุขภาพโดยรวม รวมถึงระบบย่อยอาหารด้วย

9. ผ่อนคลายความเครียด : ภาวะเครียด เป็นปัจจัยหนึ่งที่กระตุ้นให้เกิดโรคกระเพาะอาหาร การจัดการความเครียดจึงเป็นสิ่งที่ควรทำควบคู่ไปกับการปรับพฤติกรรม

10. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ : การออกกำลังกาย ช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือด ทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น

อย่างไรก็ตาม การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม อาจไม่สามารถรักษาโรคกระเพาะให้หายขาดได้ในทุกกรณี หากลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตามคำแนะนำข้างต้นแล้ว อาการยังไม่ดีขึ้น ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัย และรักษาอย่างถูกต้องต่อไป