ทำยังไงให้ค่าไตขึ้น

5 การดู

การดูแลสุขภาพไตที่ดีเริ่มต้นจากการรับประทานอาหารที่มีโพแทสเซียมต่ำ เช่น หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูปและเนื้อสัตว์บางชนิด ควบคุมปริมาณโซเดียม ดื่มน้ำสะอาดอย่างเพียงพอ และพักผ่อนให้เพียงพอ การตรวจสุขภาพไตเป็นประจำช่วยให้ตรวจพบความผิดปกติได้ตั้งแต่เนิ่นๆ ป้องกันภาวะแทรกซ้อนในอนาคต

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

เมื่อค่าไต “ต่ำ” … คู่มือสู่การดูแลไตให้แข็งแรงอย่างถูกวิธี (ไม่ใช่แค่ “ขึ้น”)

ค่าไตที่ “ต่ำ” มักเป็นสัญญาณเตือนที่ทำให้หลายคนกังวลใจ เพราะบ่งบอกถึงประสิทธิภาพการทำงานของไตที่อาจลดลง การดูแลไตจึงไม่ใช่แค่การทำให้ค่าไต “ขึ้น” แต่เป็นการฟื้นฟูและรักษาสมดุลการทำงานของไตให้กลับมาเป็นปกติและแข็งแรงในระยะยาว

ทำความเข้าใจ: ค่าไตคืออะไร และ “ต่ำ” หมายถึงอะไร?

ก่อนจะไปถึงวิธีการดูแล เราจำเป็นต้องเข้าใจก่อนว่า “ค่าไต” ที่เราพูดถึงนั้นหมายถึงอะไร โดยทั่วไป ค่าไตที่แพทย์ใช้ประเมินการทำงานของไตหลักๆ คือ:

  • ค่า eGFR (Estimated Glomerular Filtration Rate): ค่าประมาณอัตราการกรองของเสียของไต ค่านี้จะลดลงเมื่อไตทำงานได้น้อยลง
  • ค่า Creatinine ในเลือด: สารที่เกิดจากกระบวนการเผาผลาญในกล้ามเนื้อ ค่านี้จะสูงขึ้นเมื่อไตทำงานได้ไม่ดี

ดังนั้น เมื่อค่าไต “ต่ำ” มักหมายถึงค่า eGFR ต่ำ หรือค่า Creatinine ในเลือดสูง ซึ่งบ่งบอกถึงประสิทธิภาพการทำงานของไตที่ลดลง

ไม่ใช่แค่ “ทำให้ขึ้น” แต่ต้อง “ฟื้นฟู”

การพยายาม “ทำให้ค่าไตขึ้น” เพียงอย่างเดียว อาจไม่ใช่แนวทางที่ถูกต้องเสมอไป เพราะการเปลี่ยนแปลงค่าที่ผิดธรรมชาติอาจส่งผลเสียต่อร่างกายได้ สิ่งที่สำคัญกว่าคือการค้นหาสาเหตุที่ทำให้ค่าไตต่ำ และแก้ไขที่ต้นเหตุ พร้อมทั้งปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตเพื่อฟื้นฟูและบำรุงไตอย่างยั่งยืน

แนวทางการดูแลไตที่ถูกต้องและยั่งยืน:

  1. ปรึกษาแพทย์เพื่อวินิจฉัย: นี่คือขั้นตอนที่สำคัญที่สุด เพราะแพทย์จะทำการตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียดเพื่อหาสาเหตุที่ทำให้ค่าไตต่ำ และวางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล สาเหตุอาจมาจากโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคไตอักเสบ หรือการใช้ยาบางชนิด

  2. ควบคุมโรคประจำตัว: หากมีโรคประจำตัวที่เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อโรคไต การควบคุมโรคให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมเป็นสิ่งจำเป็น เช่น ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ดี ควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ

  3. ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค:

    • ลดการบริโภคโซเดียม: หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูป อาหารสำเร็จรูป อาหารหมักดอง และเครื่องปรุงรสที่มีโซเดียมสูง
    • ควบคุมปริมาณโปรตีน: การบริโภคโปรตีนมากเกินไป อาจเป็นภาระต่อไต ควรปรึกษาแพทย์หรือนักโภชนาการเพื่อกำหนดปริมาณโปรตีนที่เหมาะสม
    • จำกัดปริมาณโพแทสเซียมและฟอสฟอรัส: ในผู้ป่วยโรคไตบางราย อาจต้องจำกัดปริมาณโพแทสเซียมและฟอสฟอรัสในอาหาร ควรปรึกษาแพทย์เพื่อขอคำแนะนำ
    • ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ: การดื่มน้ำสะอาดช่วยให้ไตทำงานได้ดีขึ้น แต่ในผู้ป่วยโรคไตบางราย อาจต้องจำกัดปริมาณน้ำดื่ม ควรปรึกษาแพทย์เพื่อกำหนดปริมาณน้ำที่เหมาะสม
    • เน้นอาหารธรรมชาติ: เลือกรับประทานผัก ผลไม้ ธัญพืชไม่ขัดสี และเนื้อปลา ซึ่งมีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายและไต
  4. ดูแลสุขภาพโดยรวม:

    • พักผ่อนให้เพียงพอ: การพักผ่อนอย่างเพียงพอช่วยให้ร่างกายฟื้นฟูและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ
    • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ: การออกกำลังกายช่วยให้ระบบไหลเวียนโลหิตดีขึ้น และช่วยควบคุมน้ำหนัก
    • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์: การสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์เป็นอันตรายต่อไต
  5. ติดตามผลการรักษาอย่างสม่ำเสมอ: การตรวจสุขภาพไตเป็นประจำ ช่วยให้แพทย์ติดตามความคืบหน้าของการรักษา และปรับแผนการรักษาให้เหมาะสม

ข้อควรระวัง:

  • อย่าซื้อยาหรืออาหารเสริมมารับประทานเอง: การรับประทานยาหรืออาหารเสริมโดยไม่ปรึกษาแพทย์ อาจเป็นอันตรายต่อไต
  • อย่าเชื่อข้อมูลที่ไม่น่าเชื่อถือ: ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพเท่านั้น

สรุป:

การดูแลไตให้แข็งแรง ไม่ใช่แค่การทำให้ค่าไต “ขึ้น” แต่เป็นการฟื้นฟูและรักษาสมดุลการทำงานของไตอย่างยั่งยืน โดยการปรึกษาแพทย์เพื่อวินิจฉัย ควบคุมโรคประจำตัว ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค ดูแลสุขภาพโดยรวม และติดตามผลการรักษาอย่างสม่ำเสมอ การดูแลไตอย่างถูกต้องและยั่งยืน จะช่วยให้คุณมีสุขภาพไตที่ดี และมีคุณภาพชีวิตที่ดีในระยะยาว