ทำไมโรคเบาหวานแผลหายช้า

ทำไมแผลของผู้ป่วยเบาหวานจึงหายช้า: เบื้องลึกของความล่าช้าและการดูแลที่จำเป็น

โรคเบาหวาน เป็นภาวะเรื้อรังที่ส่งผลกระทบต่อการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด หนึ่งในภาวะแทรกซ้อนที่น่ากังวลคือ แผลหายช้า ซึ่งอาจนำไปสู่การติดเชื้อรุนแรงและภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ แต่ทำไมแผลของผู้ป่วยเบาหวานจึงหายช้ายิ่งนัก? เบื้องหลังความล่าช้านี้มีปัจจัยซับซ้อนหลายประการที่เกี่ยวข้องกัน

1. ระดับน้ำตาลในเลือดสูง: ระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงเรื้อรัง เปรียบเสมือนน้ำเชื่อมข้นๆ ที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกาย มันสร้างความเสียหายให้กับผนังหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดแข็งตัวและตีบแคบลง ส่งผลให้การไหลเวียนของเลือดไปเลี้ยงบริเวณที่เป็นแผลลดลง ออกซิเจนและสารอาหารที่จำเป็นสำหรับการซ่อมแซมเนื้อเยื่อจึงถูกส่งไปไม่เพียงพอ นอกจากนี้ น้ำตาลส่วนเกินยังไปรบกวนการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาว ซึ่งมีหน้าที่ต่อสู้กับเชื้อโรค ทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายอ่อนแอลง เพิ่มโอกาสการติดเชื้อที่แผล

2. ภาวะเส้นประสาทถูกทำลาย (Neuropathy): ระดับน้ำตาลในเลือดสูงยังทำลายเส้นประสาทส่วนปลาย โดยเฉพาะที่เท้า ทำให้ผู้ป่วยเบาหวานมีความรู้สึกชาหรือรู้สึกผิดปกติที่เท้า อาจไม่รู้สึกเจ็บเมื่อเกิดบาดแผลเล็กๆ น้อยๆ เช่น เดินเหยียบเศษแก้วหรือรองเท้ากัด ส่งผลให้แผลไม่ได้รับการดูแลอย่างทันท่วงทีและอาจลุกลามรุนแรงขึ้นได้

3. การลดลงของการสร้างคอลลาเจน: คอลลาเจนเป็นโปรตีนสำคัญที่ช่วยในการสมานแผล ระดับน้ำตาลในเลือดสูงรบกวนการสร้างคอลลาเจน ทำให้กระบวนการสมานแผลช้าลง แผลจึงใช้เวลานานกว่าจะปิดสนิท

การดูแลเท้า: หัวใจสำคัญของการป้องกัน

เนื่องจากเท้าเป็นบริเวณที่เกิดแผลได้ง่ายในผู้ป่วยเบาหวาน การดูแลสุขภาพเท้าจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ควรตรวจสอบเท้าทุกวัน มองหาแผล รอยแดง บวม หรือการเปลี่ยนแปลงอื่นๆ หลีกเลี่ยงการเดินเท้าเปล่า สวมรองเท้าที่พอดีและสบาย ตัดเล็บเท้าอย่างระมัดระวัง และปรึกษาแพทย์หรือพยาบาลทันทีหากพบความผิดปกติใดๆ

การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญในการป้องกันและจัดการภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวาน รวมถึงปัญหาแผลหายช้า.