ทำไมไข่ตกแล้วมีเลือดออก

11 การดู

เลือดออกเล็กน้อยขณะตกไข่ อาจเกิดจากการฉีกขาดของเส้นเลือดฝอยขนาดเล็กในรังไข่หรือเยื่อบุโพรงมดลูกขณะไข่หลุดออกมา ปริมาณเลือดมักน้อยและหยุดเองได้ภายใน 1-2 วัน หากมีเลือดออกมากหรือมีอาการอื่นร่วมด้วย ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง การเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนเป็นสาเหตุหลักแต่ไม่ใช่สาเหตุเดียว

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

เลือดออกขณะตกไข่: เรื่องธรรมดาหรือสัญญาณเตือน?

“ตกขาวแบบนี้…ใช่เลือดล้างไข่หรือเปล่านะ?” คำถามยอดฮิตที่สาวๆหลายคนสงสัย ใช่แล้วค่ะ การมีเลือดออกกะปริดกะปรอยช่วงกลางรอบเดือน อาจเป็นสัญญาณหนึ่งของการตกไข่ แต่ไม่ใช่ทุกครั้งที่เลือดออกจะเป็นเรื่องปกติ บทความนี้จะพาคุณไปไขความลับของ “เลือดตกไข่” พร้อมทำความเข้าใจสาเหตุ อาการ และเมื่อไหร่ที่ควรไปพบแพทย์

เลือดตกไข่: เกิดจากอะไร?

โดยปกติแล้ว ในช่วงกลางรอบเดือน รังไข่จะปล่อยไข่ที่โตเต็มที่ออกมา กระบวนการนี้เองที่อาจทำให้เกิดการฉีกขาดของเส้นเลือดฝอยเล็กๆ บริเวณรังไข่หรือเยื่อบุโพรงมดลูก ทำให้มีเลือดออกปริมาณเล็กน้อย มักมีลักษณะเป็นเลือดสีแดงสดหรือสีชมพู ปนมากับตกขาว บางครั้งอาจมีอาการปวดหน่วงๆ บริเวณท้องน้อยร่วมด้วย

สาเหตุอื่นๆ นอกเหนือจากการตกไข่

แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในช่วงตกไข่จะเป็นสาเหตุหลักของเลือดออก แต่ก็มีปัจจัยอื่นๆ ที่อาจทำให้เกิดเลือดออกในช่วงกลางรอบเดือนได้เช่นกัน ได้แก่:

  • ผลข้างเคียงจากยาคุมกำเนิด: โดยเฉพาะในช่วง 2-3 เดือนแรกของการใช้ยา หรือการใช้ยาคุมฉุกเฉิน
  • ภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่: ทำให้เกิดเลือดออกผิดปกติ มักมีอาการปวดประจำเดือนรุนแรงร่วมด้วย
  • เนื้องอกในมดลูก: เช่น เนื้องอกมดลูก ติ่งเนื้อในโพรงมดลูก ซึ่งอาจทำให้มีเลือดออกกะปริดกะปรอย
  • การติดเชื้อ: เช่น การติดเชื้อในช่องคลอด หรือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ อาจทำให้มีเลือดออกผิดปกติได้
  • ความผิดปกติของระบบไทรอยด์: ส่งผลต่อสมดุลฮอร์โมน ทำให้ประจำเดือนมาไม่ปกติ รวมถึงมีเลือดออกกะปริดกะปรอย

เมื่อไหร่ที่ควรพบแพทย์?

เลือดออกจากการตกไข่มักมีปริมาณน้อย และหยุดได้เองภายใน 1-2 วัน แต่หากคุณพบอาการเหล่านี้ควรรีบไปพบแพทย์:

  • เลือดออกปริมาณมาก หรือยาวนานกว่า 3 วัน
  • มีกลิ่นเหม็น หรือมีอาการคันบริเวณช่องคลอดร่วมด้วย
  • ปวดท้องน้อยรุนแรง
  • มีไข้ หนาวสั่น
  • มีเลือดออกหลังมีเพศสัมพันธ์

สรุป

เลือดออกขณะตกไข่เป็นเรื่องที่อาจเกิดขึ้นได้ และมักไม่เป็นอันตราย แต่หากคุณมีข้อสงสัย หรือมีอาการผิดปกติอื่นๆ ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัย และรับการรักษาที่เหมาะสมต่อไป