นอนแล้วน้ำลายฟูมปากเกิดจากอะไร

3 การดู

การนอนหลับส่งผลให้กล้ามเนื้อบริเวณใบหน้าคลายตัว รวมถึงกล้ามเนื้อที่ควบคุมการปิดปากและการกลืน ทำให้เกิดการไหลของน้ำลายออกมาขณะหลับ ปริมาณน้ำลายที่ผลิตขึ้นตามปกติของร่างกายในแต่ละวัน อาจดูมากขึ้นเมื่ออยู่ในท่านอน ส่งผลให้เกิดความเปียกชื้นบนหมอนหรือที่นอน การปรับท่าทางการนอนอาจช่วยลดปัญหาได้

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

ปริศนาแห่งน้ำลายฟูมปากยามหลับ: เกิดจากอะไร และแก้ไขได้อย่างไร?

เสียงน้ำลายไหลย้อยลงหมอนยามค่ำคืน อาจเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับบางคน แต่สำหรับอีกหลายคน มันคือปัญหาที่สร้างความรำคาญและกังวลใจ ความจริงแล้ว การนอนแล้วน้ำลายฟูมปากนั้นไม่ใช่เรื่องแปลก แต่สาเหตุที่แท้จริงอาจซับซ้อนกว่าที่คิด และการแก้ไขก็ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การเปลี่ยนท่านอนเท่านั้น

ใช่แล้ว การที่กล้ามเนื้อบริเวณใบหน้าคลายตัวขณะหลับ เป็นปัจจัยสำคัญ กล้ามเนื้อที่ควบคุมการปิดปากและการกลืนทำงานลดลง ทำให้การปิดปากไม่สนิท น้ำลายจึงไหลออกมาได้ง่าย เหมือนกับที่เรามักพบว่าปากแห้งเวลาตื่นนอน แต่ในบางราย ปากกลับเปียกชุ่ม นั่นเป็นเพราะปริมาณน้ำลายที่ร่างกายสร้างขึ้นตลอด 24 ชั่วโมง อาจดูเหมือนเพิ่มมากขึ้นเมื่ออยู่ในท่านอน โดยเฉพาะท่านอนตะแคง ซึ่งน้ำลายไหลไปรวมกันในจุดเดียว ส่งผลให้เกิดความรู้สึกเปียกชื้นอย่างเห็นได้ชัด

อย่างไรก็ตาม การไหลของน้ำลายมากผิดปกติ อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงปัญหาสุขภาพอื่นๆ ที่ไม่ควรมองข้าม เช่น:

  • การอุดตันของทางเดินหายใจส่วนบน (Upper Airway Obstruction): ภาวะนี้ทำให้การหายใจขณะนอนหลับลำบาก ส่งผลให้กล้ามเนื้อใบหน้าทำงานหนักขึ้น และอาจกระตุ้นให้มีการสร้างน้ำลายมากขึ้น รวมถึงโรคกรนและภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Sleep Apnea)
  • การติดเชื้อในช่องปากหรือลำคอ: การอักเสบของเยื่อบุช่องปากหรือลำคอ อาจทำให้ต่อมน้ำลายผลิตน้ำลายมากขึ้นกว่าปกติ
  • การใช้ยาบางชนิด: ยาบางชนิดมีผลข้างเคียงทำให้เกิดน้ำลายไหลมากขึ้น
  • ปัญหาเกี่ยวกับระบบประสาท: ในบางกรณี การไหลของน้ำลายมากผิดปกติอาจเกี่ยวข้องกับความผิดปกติของระบบประสาท

ดังนั้น การแก้ไขปัญหาน้ำลายฟูมปากจึงควรพิจารณาถึงสาเหตุที่แท้จริง การปรับท่าทางการนอน เช่น นอนหงาย หรือใช้หมอนรองศีรษะให้สูงขึ้นเล็กน้อย อาจช่วยลดปัญหาได้บ้าง แต่หากอาการรุนแรง หรือมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น กรน หายใจติดขัด หรือรู้สึกอ่อนเพลีย ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาที่เหมาะสม เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีโรคอื่นๆ ที่ซ่อนอยู่ และรับคำแนะนำในการแก้ไขปัญหาอย่างตรงจุด อย่ามองข้ามอาการเล็กๆ น้อยๆ เพราะมันอาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพที่สำคัญได้

บทความนี้เป็นเพียงข้อมูลทั่วไป ไม่ได้ใช้แทนคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ หากมีข้อสงสัยหรือกังวล ควรปรึกษาแพทย์หรือทันตแพทย์เสมอ