น้ำหนักแบบไหนเรียกว่าอ้วน

น้ำหนักแบบไหนเรียกว่าอ้วน: ไขปริศนา BMI และเส้นทางสู่สุขภาพที่ดีกว่า

คำว่า “อ้วน” มักถูกใช้กันอย่างแพร่หลาย แต่ความหมายที่แท้จริงและผลกระทบต่อสุขภาพนั้นซับซ้อนกว่าที่คิด การประเมินว่าน้ำหนักตัวอยู่ในเกณฑ์ใด จำเป็นต้องพิจารณาปัจจัยหลายอย่างประกอบกัน ไม่ใช่แค่น้ำหนักตัวเพียงอย่างเดียว ดัชนีมวลกาย (BMI) เป็นเครื่องมือที่นิยมใช้ในการประเมินเบื้องต้นว่าน้ำหนักตัวอยู่ในเกณฑ์ใด โดยคำนวณจากน้ำหนักตัว (กิโลกรัม) หารด้วยส่วนสูง (เมตร) ยกกำลังสอง

โดยทั่วไป BMI ที่มากกว่าหรือเท่ากับ 25.0 ถือว่ามีน้ำหนักเกิน หาก BMI สูงกว่า 30.0 จัดอยู่ในภาวะอ้วน ซึ่งแบ่งย่อยได้อีกเป็น อ้วนระดับ 1 (BMI 30.0-34.9), อ้วนระดับ 2 (BMI 35.0-39.9) และ อ้วนระดับ 3 (BMI 40.0 ขึ้นไป) หรือที่เรียกว่า “อ้วนมาก”

อย่างไรก็ตาม BMI เป็นเพียงตัวบ่งชี้เบื้องต้นเท่านั้น ไม่ได้สะท้อนถึงองค์ประกอบของร่างกาย เช่น มวลกล้ามเนื้อ คนที่ออกกำลังกายเป็นประจำอาจมี BMI สูงเนื่องจากมีมวลกล้ามเนื้อมาก แต่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาอ้วนหรือมีไขมันสะสมในร่างกายมากเกินไป ดังนั้น การประเมินภาวะอ้วนอย่างแม่นยำ ควรพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ประกอบด้วย เช่น รอบเอว เปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกาย รวมถึงประวัติสุขภาพของแต่ละบุคคล

ภาวะอ้วนเพิ่มความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพมากมาย เช่น โรคเบาหวานประเภท 2, โรคหัวใจและหลอดเลือด, โรคความดันโลหิตสูง, ไขมันในเลือดสูง, โรคข้อเข่าเสื่อม, ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ และบางชนิดของมะเร็ง

หากคุณมี BMI ที่สูงกว่า 30.0 ควรเริ่มปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน เช่น เลือกอาหารที่มีประโยชน์ ลดปริมาณอาหารที่มีไขมันและน้ำตาลสูง เพิ่มการรับประทานผักและผลไม้ และเริ่มออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์

สำหรับผู้ที่มี BMI สูงกว่า 40.0 หรือมีภาวะแทรกซ้อนทางสุขภาพอื่นๆ ควรปรึกษาแพทย์หรือนักโภชนาการเพื่อรับคำแนะนำเฉพาะบุคคล แพทย์อาจแนะนำการรักษาเพิ่มเติม เช่น การใช้ยา หรือการผ่าตัด เพื่อช่วยในการจัดการน้ำหนักและลดความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพ

การดูแลสุขภาพและควบคุมน้ำหนักเป็นการลงทุนระยะยาวที่คุ้มค่า อย่ารอช้าที่จะเริ่มต้นดูแลตัวเอง dès วันนี้ เพื่อสุขภาพที่ดีและชีวิตที่มีคุณภาพในระยะยาว