บริจาคเลือด เพลียกี่วัน

0 การดู

หลังบริจาคเลือด ร่างกายอาจอ่อนเพลียเล็กน้อย 2-3 วัน ควรพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำเยอะๆ ทานอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง เช่น เนื้อแดง ตับ ผักใบเขียวเข้ม และรับประทานยาบำรุงโลหิตตามคำแนะนำ เพื่อช่วยฟื้นฟูและเสริมสร้างเม็ดเลือดแดง

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

รู้ทันอาการเพลียหลังบริจาคเลือด: ดูแลตัวเองอย่างไรให้กลับมาสดใสไว

การบริจาคเลือดคือการให้ที่ยิ่งใหญ่ เป็นการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่ต้องการเลือดเพื่อการรักษาพยาบาล แต่หลายคนอาจกังวลถึงอาการอ่อนเพลียที่อาจเกิดขึ้นหลังการบริจาค บทความนี้จะเจาะลึกเรื่องอาการเพลียหลังบริจาคเลือด พร้อมเคล็ดลับดูแลตัวเองให้กลับมาสดชื่นกระปรี้กระเปร่าได้เร็วที่สุด

ทำไมถึงเพลียหลังบริจาคเลือด?

การบริจาคเลือดทำให้ร่างกายสูญเสียปริมาณเลือดไปส่วนหนึ่ง ซึ่งส่งผลให้ความดันโลหิตลดลง และปริมาณเม็ดเลือดแดงที่นำพาออกซิเจนไปยังเซลล์ต่างๆ ในร่างกายลดลงชั่วคราว ทำให้เกิดอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย วิงเวียนศีรษะ หรือหน้ามืดได้ในบางราย โดยทั่วไป อาการเหล่านี้มักไม่รุนแรงและหายได้เองภายใน 2-3 วัน

อาการเพลียแบบไหนที่ต้องเฝ้าระวัง?

แม้ว่าอาการเพลียหลังบริจาคเลือดส่วนใหญ่มักไม่ร้ายแรง แต่หากพบอาการดังต่อไปนี้ ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที:

  • อาการหน้ามืด วิงเวียนศีรษะรุนแรง: จนไม่สามารถทรงตัวได้ หรือหมดสติ
  • หายใจลำบาก: หายใจถี่ หายใจตื้น หรือเจ็บหน้าอก
  • หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ: ใจสั่น หัวใจเต้นแรง
  • มีเลือดออกผิดปกติ: บริเวณที่เจาะเลือดมีเลือดออกไม่หยุด หรือมีอาการบวมแดง ปวด
  • อาการอ่อนเพลียเรื้อรัง: อาการอ่อนเพลียไม่ดีขึ้นหลัง 3 วัน หรือมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น ไข้ หนาวสั่น

เคล็ดลับดูแลตัวเองหลังบริจาคเลือดให้กลับมาสดใสไว

เพื่อลดอาการอ่อนเพลียและช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็วขึ้น ลองทำตามเคล็ดลับเหล่านี้:

  1. พักผ่อนให้เพียงพอ: ในช่วง 24 ชั่วโมงแรกหลังบริจาคเลือด ควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ต้องออกแรงมากเกินไป นอนหลับพักผ่อนให้เต็มที่
  2. ดื่มน้ำเยอะๆ: การบริจาคเลือดทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำ ดื่มน้ำให้มากขึ้นเพื่อรักษาระดับน้ำในร่างกาย และช่วยเพิ่มปริมาณเลือด
  3. ทานอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง: ธาตุเหล็กเป็นส่วนประกอบสำคัญของเม็ดเลือดแดง การทานอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง เช่น เนื้อแดง ตับ เครื่องในสัตว์ ผักใบเขียวเข้ม (ผักโขม บรอกโคลี) ถั่ว และธัญพืช จะช่วยเสริมสร้างเม็ดเลือดแดง
  4. ทานวิตามินซี: วิตามินซีช่วยในการดูดซึมธาตุเหล็กจากอาหารให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
  5. หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์และคาเฟอีน: เครื่องดื่มเหล่านี้อาจทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำมากขึ้น และรบกวนการนอนหลับพักผ่อน
  6. รับประทานยาบำรุงโลหิต (ตามคำแนะนำของแพทย์): ในบางกรณี แพทย์อาจแนะนำให้รับประทานยาบำรุงโลหิตเสริม เพื่อช่วยเพิ่มปริมาณธาตุเหล็กในร่างกาย
  7. หลีกเลี่ยงการยกของหนัก: ในช่วง 24 ชั่วโมงแรก ควรหลีกเลี่ยงการยกของหนัก หรือออกกำลังกายที่ต้องใช้กำลังมาก

ข้อควรรู้เพิ่มเติม:

  • ก่อนบริจาคเลือด: นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ทานอาหารที่มีประโยชน์ และดื่มน้ำเยอะๆ
  • แจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบ: หากมีโรคประจำตัว หรือรับประทานยาใดๆ อยู่ ควรแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบก่อนบริจาคเลือด
  • สังเกตอาการตัวเอง: หลังบริจาคเลือด หากรู้สึกไม่สบาย หรือมีอาการผิดปกติ ควรรีบแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบทันที

การบริจาคเลือดเป็นเรื่องที่น่ายกย่อง แต่การดูแลสุขภาพตัวเองให้พร้อมก่อนและหลังการบริจาคก็สำคัญเช่นกัน ทำตามคำแนะนำข้างต้น เพื่อให้การบริจาคเลือดของคุณเป็นไปอย่างราบรื่น และช่วยชีวิตผู้อื่นได้อย่างมีความสุข