บวมกับอ้วนต่างกันยังไง

3 การดู

สังเกตอาการบวมได้ด้วยตัวเอง ลองกดผิวค้างไว้ 10 วินาที หากเป็นรอยบุ๋ม แสดงว่าบวมน้ำ หากผิวเด้งกลับทันทีหรือรู้สึกแน่นตึง อาจเป็นไขมันสะสม หากมีอาการบวมนานผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

ความแตกต่างระหว่างอาการบวมและความอ้วน

การบวมและความอ้วนเป็นภาวะที่แตกต่างกัน โดยมีสาเหตุและอาการที่แยกจากกันได้ ดังนี้

อาการบวม

อาการบวมเกิดจากการสะสมของของเหลวในร่างกาย ทำให้เกิดการบวมบนผิวหนัง อาการบวมสามารถเกิดได้ในบริเวณต่างๆ ของร่างกาย เช่น ใบหน้า แขน ขา หรือเท้า อาการบวมอาจเป็นอาการชั่วคราว หรืออาจเรื้อรังได้ สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการบวม ได้แก่

  • โรคหัวใจ
  • โรคไต
  • โรคตับ
  • การแพ้อาหาร
  • การตั้งครรภ์
  • การรับประทานยาบางชนิด

อาการอ้วน

ความอ้วนเกิดจากการมีไขมันสะสมในร่างกายในปริมาณที่มากเกินไป ความอ้วนสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น การรับประทานอาหารที่มีแคลอรีสูงเป็นประจำ การออกกำลังกายไม่เพียงพอ และปัจจัยทางกรรมพันธุ์ อาการของความอ้วน ได้แก่

  • ดัชนีมวลกาย (BMI) สูงกว่า 30
  • ไขมันสะสมบริเวณเอวและหน้าท้อง
  • หายใจลำบาก
  • ปวดหลังและปวดข้อ
  • อาการนอนกรน

วิธีแยกแยะอาการบวมออกจากความอ้วน

  • การกดผิวหนัง: หากกดผิวหนังบริเวณที่บวมค้างไว้เป็นเวลา 10 วินาที แล้วผิวหนังยุบลงเป็นรอยบุ๋ม แสดงว่าเป็นอาการบวม แต่ถ้าผิวหนังเด้งกลับทันทีหรือรู้สึกแน่นตึง อาจเป็นไขมันสะสม
  • อาการบวมในระยะเวลา: อาการบวมที่เกิดขึ้นชั่วคราว เช่น หลังจากนั่งหรือยืนนานๆ มักจะหายไปภายในไม่กี่ชั่วโมง แต่ถ้าอาการบวมเรื้อรัง อาจเป็นสัญญาณของโรคที่รุนแรงกว่า
  • อาการอื่นๆ: อาการบวมมักมาพร้อมกับอาการอื่นๆ เช่น หายใจลำบาก เหนื่อยง่าย หรือปัสสาวะบ่อย ส่วนความอ้วนอาจมาพร้อมกับอาการปวดหลัง ปวดข้อ และเบาหวาน

หากคุณมีอาการบวมที่ผิดปกติหรือเรื้อรัง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาที่ถูกต้อง