บวมโซเดียม กับอ้วน ต่างกันอย่างไร

7 การดู

หน้าบวมน้ำจากโซเดียมมักเกิดจากการทานอาหารเค็มจัด ทำให้ร่างกายกักเก็บน้ำไว้ อาการจะหายไปเมื่อร่างกายขับโซเดียมส่วนเกินออก ต่างจากหน้ากลมที่เกิดจากไขมันสะสม ซึ่งต้องควบคุมอาหารและออกกำลังกายเพื่อลดไขมันอย่างจริงจังจึงจะเห็นผล

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

บวมโซเดียม VS อ้วน: หน้าบวม VS หน้ากลม ต่างกันอย่างไร?

หลายคนอาจสับสนระหว่างอาการ “หน้าบวม” กับ “หน้าอ้วน” คิดว่าเป็นเรื่องเดียวกัน แต่ความจริงแล้วทั้งสองอย่างนี้มีสาเหตุและวิธีแก้ไขที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง มาไขข้อข้องใจ ทำความเข้าใจความแตกต่างระหว่าง “บวมโซเดียม” กับ “อ้วน” กันดีกว่า

บวมโซเดียม: อาการบวมที่เกิดจากการบริโภคโซเดียมหรือเกลือมากเกินไป ร่างกายพยายามรักษาสมดุลของของเหลวโดยการกักเก็บน้ำไว้ ส่งผลให้เกิดอาการบวมน้ำ โดยเฉพาะบริเวณใบหน้า มือ และเท้า อาการบวมลักษณะนี้มักเกิดขึ้นชั่วคราว สังเกตได้ว่าผิวหนังจะตึงและอาจบุ๋มลงเล็กน้อยเมื่อกด อาการมักจะหายไปเองภายใน 1-2 วัน หรือเร็วขึ้นเมื่อร่างกายขับโซเดียมส่วนเกินออกผ่านทางเหงื่อและปัสสาวะ วิธีแก้ไขง่ายๆ คือการลดปริมาณโซเดียมในอาหาร ดื่มน้ำเปลามากๆ และหลีกเลี่ยงอาหารแปรรูปที่มีโซเดียมสูง

อ้วน (ไขมันสะสม): เกิดจากการที่ร่างกายได้รับพลังงานมากกว่าที่ใช้ พลังงานส่วนเกินจะถูกเก็บสะสมในรูปของไขมัน รวมถึงบริเวณใบหน้าด้วย ทำให้หน้าดูกลม อิ่มเอิบ และมีเนื้อมากกว่าปกติ ซึ่งแตกต่างจากอาการบวมน้ำ การกดผิวหนังบริเวณที่อ้วนจะไม่บุ๋มลง และอาการจะไม่หายไปเองอย่างรวดเร็ว ต้องอาศัยการควบคุมอาหาร ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และใช้เวลาในการลดไขมันสะสมอย่างจริงจัง

สรุปความแตกต่าง:

ลักษณะ บวมโซเดียม อ้วน (ไขมันสะสม)
สาเหตุ โซเดียม/เกลือมากเกินไป พลังงานส่วนเกิน
อาการ หน้าบวม ผิวหนังตึง กดแล้วบุ๋ม หน้ากลม มีเนื้อ กดไม่บุ๋ม
ระยะเวลา ชั่วคราว (1-2 วัน) ยาวนาน ต้องใช้เวลาในการลด
วิธีแก้ไข ลดโซเดียม ดื่มน้ำเปล่า ควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย

ดังนั้น หากคุณมีอาการหน้าบวม ลองสำรวจพฤติกรรมการกินของตัวเองก่อนว่าทานอาหารรสจัด อาหารแปรรูป หรืออาหารที่มีโซเดียมสูงหรือไม่ แต่หากหน้าดูกลม อิ่มเอิบ และมีเนื้อมาก อาจเป็นสัญญาณของไขมันสะสม ซึ่งจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ ควบคุมอาหาร และออกกำลังกายอย่างจริงจังเพื่อลดไขมัน และเพื่อสุขภาพที่ดีในระยะยาว

หากไม่แน่ใจว่าอาการที่เกิดขึ้นเป็นเพราะบวมน้ำหรือไขมันสะสม ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับคำแนะนำที่ถูกต้อง