ปวดท้องแบบไหนถึงจะได้นอนโรงพยาบาล

5 การดู

อาการปวดท้องรุนแรงร่วมกับมีไข้สูงลอย อุจจาระมีเลือดปน หรือมีมูกเลือดปน คลื่นไส้ อาเจียนอย่างรุนแรงต่อเนื่อง หรือมีอาการซีด เหล่านี้บ่งบอกถึงความจำเป็นในการรับการรักษาที่โรงพยาบาลโดยด่วน ควรไปพบแพทย์ทันที

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

ปวดท้องแบบไหนถึงต้องนอนโรงพยาบาล? เมื่อไส้ติ่งอักเสบไม่ใช่คำตอบเดียว

อาการปวดท้องเป็นเรื่องปกติที่ทุกคนต้องเคยประสบ บางครั้งอาจเกิดจากอาหารไม่ย่อย หรือความเครียดสะสม แต่ในบางกรณี อาการปวดท้องอาจเป็นสัญญาณเตือนของภาวะร้ายแรงที่จำเป็นต้องได้รับการรักษาในโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วน อย่าคิดว่าแค่ปวดท้องธรรมดา แล้วปล่อยทิ้งไว้จนสายเกินแก้

บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจถึงอาการปวดท้องแบบไหนที่ควรต้องรีบไปโรงพยาบาล โดยเน้นไปที่อาการที่บ่งบอกถึงความผิดปกติ และไม่ควรชะล่าใจ

สัญญาณเตือนอันตราย ต้องรีบไปโรงพยาบาล!

อาการปวดท้องที่ควรต้องนอนโรงพยาบาล มักมีลักษณะรุนแรง หรือมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น:

  • ปวดท้องรุนแรง แบบไม่เคยเป็นมาก่อน: อาการปวดท้องอย่างกะทันหัน และรุนแรง จนทนไม่ไหว หรือปวดมากขึ้นเรื่อยๆ แม้จะกินยาแก้ปวดแล้วก็ไม่ดีขึ้น อาจเป็นสัญญาณของภาวะฉุกเฉิน เช่น ไส้ติ่งอักเสบ, ลำไส้อุดตัน, ถุงน้ำดีอักเสบ, หรือแม้กระทั่งการตั้งครรภ์นอกมดลูก
  • ปวดท้องร่วมกับไข้สูง: โดยเฉพาะไข้สูงที่ไม่ลดลง หรือมีอาการหนาวสั่นร่วมด้วย อาจบ่งชี้ถึงการติดเชื้อภายในช่องท้อง
  • อาเจียนหรือถ่ายเป็นเลือด: ไม่ว่าจะเป็นเลือดสด หรือเลือดปนอุจจาระ/อาเจียนสีดำ เป็นสัญญาณอันตรายที่บ่งบอกถึงการมีเลือดออกในทางเดินอาหาร
  • ท้องแข็งเกร็ง กดเจ็บ: โดยเฉพาะเมื่อกดแล้วปล่อยมือ รู้สึกเจ็บมากขึ้น (Rebound tenderness) เป็นอาการที่พบได้ในภาวะเยื่อบุช่องท้องอักเสบ
  • ท้องบวม เป่ง: ร่วมกับอาการปวดท้อง อาจเกิดจากการอุดตันของลำไส้ หรือมีของเหลว/ลมในช่องท้อง
  • อ่อนเพลียอย่างรุนแรง หน้ามืด วิงเวียน: ร่วมกับอาการปวดท้อง อาจบ่งบอกถึงภาวะช็อกจากการเสียเลือด หรือการติดเชื้ออย่างรุนแรง
  • ปวดท้องเป็นเวลานาน: แม้จะไม่รุนแรงมาก แต่ปวดต่อเนื่องนานเกินกว่า 24 ชั่วโมง ก็ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุ
  • มีประวัติโรคประจำตัว: เช่น โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง นิ่วในถุงน้ำดี หรือเคยผ่าตัดช่องท้องมาก่อน เมื่อมีอาการปวดท้อง ควรไปพบแพทย์เร็วกว่าปกติ

อย่ารอช้า! รีบไปโรงพยาบาล

หากคุณมีอาการปวดท้องร่วมกับอาการที่กล่าวมาข้างต้น อย่าลังเลที่จะไปโรงพยาบาลทันที การวินิจฉัยและรักษาอย่างรวดเร็ว เป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต. อย่าพยายามรักษาตัวเอง หรือรอให้หายเอง เพราะอาจทำให้เสียเวลาทองในการรักษา และอาจทำให้โรคลุกลามจนยากที่จะรักษา

อย่าลืม! การให้ข้อมูลที่ถูกต้องและครบถ้วนกับแพทย์ เช่น ลักษณะอาการปวด ตำแหน่งที่ปวด ระยะเวลาที่ปวด อาหารที่กิน ยาที่กิน และประวัติการเจ็บป่วย จะช่วยให้แพทย์วินิจฉัยโรคได้อย่างแม่นยำ และให้การรักษาที่เหมาะสม.