ผลเลือด Rh คือ อะไร
ตัวอย่างข้อมูลแนะนำใหม่:
หมู่เลือดอาร์เอช (Rh) เป็นระบบหมู่เลือดที่สำคัญนอกเหนือจาก ABO โดยการมีหรือไม่มีแอนติเจนดี (D) บนเม็ดเลือดแดงจะเป็นตัวกำหนด หากมีแอนติเจนดี จะเรียกว่า Rh บวก (Rh+) ซึ่งพบได้บ่อยในคนไทย สามารถรับเลือดได้ทั้ง Rh+ และ Rh-. การทราบหมู่เลือด Rh มีความสำคัญในการให้เลือดและการตั้งครรภ์
หมู่เลือด Rh: มากกว่าแค่บวกหรือลบที่คุณควรรู้
เมื่อพูดถึงหมู่เลือด หลายคนคงคุ้นเคยกับระบบ ABO (A, B, AB, O) แต่ยังมีอีกระบบหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน นั่นคือ หมู่เลือด Rh (Rhesus factor) ซึ่งมักจะถูกระบุต่อท้ายหมู่เลือด ABO ของเรา เช่น A+, B-, AB+, O- แล้ว Rh นี้คืออะไร สำคัญอย่างไร และทำไมเราต้องรู้?
Rh คืออะไร: แอนติเจน D ตัวกำหนดความเป็นบวกหรือลบ
หมู่เลือด Rh ถูกกำหนดโดยการมีอยู่หรือไม่มีอยู่ของโปรตีนชนิดหนึ่งที่เรียกว่า แอนติเจน D (D antigen) บนพื้นผิวของเม็ดเลือดแดง ถ้าเม็ดเลือดแดงของคุณมีแอนติเจน D แสดงว่าคุณมีหมู่เลือด Rh บวก (Rh+) ซึ่งเป็นหมู่เลือดที่พบได้บ่อยในคนไทยส่วนใหญ่ ในทางกลับกัน ถ้าเม็ดเลือดแดงของคุณไม่มีแอนติเจน D คุณจะมีหมู่เลือด Rh ลบ (Rh-)
ความสำคัญของหมู่เลือด Rh: เลือดที่ให้ได้และความเสี่ยงในการตั้งครรภ์
การทราบหมู่เลือด Rh ของตนเองมีความสำคัญหลักๆ สองประการ ได้แก่
-
การให้เลือดและรับเลือด: ผู้ที่มีหมู่เลือด Rh+ สามารถรับเลือดได้ทั้งจากผู้ที่มี Rh+ และ Rh- เนื่องจากร่างกายของพวกเขามีแอนติเจน D อยู่แล้วจึงไม่สร้างแอนติบอดีต่อแอนติเจน D ในเลือด Rh- อย่างไรก็ตาม ผู้ที่มีหมู่เลือด Rh- จะต้องรับเลือดจากผู้ที่มี Rh- เท่านั้น เพราะหากได้รับเลือดจากผู้ที่มี Rh+ ร่างกายของพวกเขาจะสร้างแอนติบอดีต่อแอนติเจน D ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อการรับเลือดครั้งต่อไป
-
การตั้งครรภ์: ความแตกต่างของหมู่เลือด Rh ระหว่างแม่และลูกในครรภ์อาจก่อให้เกิดปัญหาได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่ แม่มีหมู่เลือด Rh- และลูกมีหมู่เลือด Rh+ (ซึ่งสืบทอดมาจากพ่อที่มี Rh+) ในระหว่างการตั้งครรภ์หรือการคลอด บุตร เลือดของลูกอาจไหลเข้าสู่กระแสเลือดของแม่ ทำให้ร่างกายของแม่สร้างแอนติบอดีต่อแอนติเจน D เมื่อการตั้งครรภ์ครั้งต่อไป ลูกมีหมู่เลือด Rh+ แอนติบอดีที่แม่สร้างขึ้นจากการตั้งครรภ์ครั้งก่อนสามารถข้ามรกและทำลายเม็ดเลือดแดงของลูกในครรภ์ ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงที่เรียกว่า Erythroblastosis Fetalis ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะซีด ภาวะบวมน้ำ และอันตรายถึงชีวิตของลูกได้
การป้องกันและรักษาภาวะแทรกซ้อนจากการตั้งครรภ์ที่มี Rh ไม่เข้ากัน
โชคดีที่ปัจจุบันมีวิธีการป้องกันและรักษาภาวะแทรกซ้อนจากการตั้งครรภ์ที่มี Rh ไม่เข้ากันได้ โดยแพทย์จะทำการตรวจหาหมู่เลือด Rh ของหญิงตั้งครรภ์ หากพบว่าแม่มี Rh- แพทย์จะฉีด Immunoglobulin anti-D (RhIg) ให้กับแม่ในช่วงสัปดาห์ที่ 28 ของการตั้งครรภ์ และภายใน 72 ชั่วโมงหลังคลอด (หากลูกมี Rh+) เพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายของแม่สร้างแอนติบอดีต่อแอนติเจน D
สรุป
หมู่เลือด Rh เป็นระบบหมู่เลือดที่สำคัญนอกเหนือจาก ABO ที่ทุกคนควรทราบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ การทราบหมู่เลือด Rh ของตนเองจะช่วยให้สามารถวางแผนการตั้งครรภ์ได้อย่างเหมาะสมและลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ การตรวจหมู่เลือด Rh เป็นขั้นตอนที่ง่ายและรวดเร็ว หากคุณยังไม่ทราบหมู่เลือด Rh ของตนเอง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อทำการตรวจและรับคำแนะนำที่เหมาะสม
#Rh#ประเภทเลือด#ผลเลือดข้อเสนอแนะสำหรับคำตอบ:
ขอบคุณที่ให้ข้อเสนอแนะ! ข้อเสนอแนะของคุณมีความสำคัญต่อการปรับปรุงคำตอบในอนาคต