ภูมิคุ้มกันบกพร่อง ตรวจยังไง

8 การดู
การตรวจภูมิคุ้มกันบกพร่องเบื้องต้น ทำได้โดยสังเกตอาการติดเชื้อบ่อย เช่น ปอดบวม ท้องเสียเรื้อรัง หรือเชื้อราในปาก หากสงสัย ควรพบแพทย์เพื่อตรวจเลือดดูระดับเม็ดเลือดขาวชนิดต่างๆ ภูมิคุ้มกันบกพร่องบางชนิดตรวจพบได้จากการตรวจคัดกรองทารกแรกเกิด การตรวจยืนยันจำเป็นต้องอาศัยการตรวจทางพันธุกรรมเพิ่มเติม
ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

ภูมิคุ้มกันบกพร่อง: การตรวจวินิจฉัยเพื่อปกป้องสุขภาพ

ระบบภูมิคุ้มกันทำหน้าที่ปกป้องร่างกายของเราจากการติดเชื้อและโรคต่างๆ อย่างไรก็ตาม ในบางกรณี ระบบภูมิคุ้มกันอาจบกพร่อง ทำให้ร่างกายมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อและโรคที่รุนแรงได้ ดังนั้น การตรวจวินิจฉัยภูมิคุ้มกันบกพร่องจึงมีความสำคัญอย่างมากเพื่อให้ได้รับการรักษาที่เหมาะสมและป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง

อาการที่อาจบ่งบอกถึงภูมิคุ้มกันบกพร่อง

อาการที่พบบ่อยของภูมิคุ้มกันบกพร่อง ได้แก่:

  • การติดเชื้อซ้ำๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปอดบวม ท้องเสียเรื้อรัง หรือเชื้อราในปาก
  • การติดเชื้อที่รุนแรงหรือรักษาได้ยาก
  • ประวัติการติดเชื้อที่หายากหรือผิดปกติ
  • ภาวะเกล็ดเลือดต่ำเรื้อรัง
  • ลมพิษและผื่นผิวหนังที่ไม่ทราบสาเหตุ
  • ปัญหาทางระบบประสาท เช่น ชักหรือพัฒนาการล่าช้า

หากคุณมีอาการดังกล่าว คุณควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรักษาได้ทันท่วงที

การตรวจวินิจฉัยภูมิคุ้มกันบกพร่อง

การตรวจภูมิคุ้มกันบกพร่องเบื้องต้นมักเริ่มจากการประเมินอาการและประวัติทางการแพทย์ แพทย์อาจทำการตรวจร่างกายเพื่อหาสัญญาณของการติดเชื้อหรือภาวะผิดปกติอื่นๆ

จากนั้นแพทย์อาจสั่งให้ทำการตรวจเลือดเพื่อตรวจวัดระดับเม็ดเลือดขาวชนิดต่างๆ หากผลเลือดบ่งชี้ว่ามีระดับเม็ดเลือดขาวต่ำหรือผิดปกติ อาจเป็นสัญญาณของภูมิคุ้มกันบกพร่อง

นอกจากนี้ แพทย์อาจทำการตรวจคัดกรองทารกแรกเกิดเพื่อหาความผิดปกติของภูมิคุ้มกันบางประเภท โดยการตรวจเลือดจากส้นเท้าของทารกหลังคลอด

การตรวจทางพันธุกรรมสำหรับภูมิคุ้มกันบกพร่อง

หากการตรวจเลือดและการตรวจทางคลินิกชี้ให้เห็นว่ามีภูมิคุ้มกันบกพร่อง แพทย์อาจสั่งให้ทำการตรวจทางพันธุกรรมเพื่อยืนยันการวินิจฉัย การตรวจทางพันธุกรรมสามารถระบุการกลายพันธุ์ของยีนที่เกี่ยวข้องกับภูมิคุ้มกันบกพร่องบางประเภทได้

การวินิจฉัยที่แม่นยำมีความสำคัญอย่างยิ่งเพื่อกำหนดประเภทของภูมิคุ้มกันบกพร่องและเพื่อให้การรักษาที่เหมาะสม

การรักษาภูมิคุ้มกันบกพร่อง

การรักษาภูมิคุ้มกันบกพร่องขึ้นอยู่กับประเภทของโรคและความรุนแรง อาจรวมถึง:

  • ยาปฏิชีวนะและยาต้านไวรัสเพื่อป้องกันและรักษาการติดเชื้อ
  • การฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันการติดเชื้อ
  • การปลูกถ่ายไขกระดูกหรือการบำบัดด้วยเซลล์เพื่อสร้างระบบภูมิคุ้มกันใหม่
  • ยาที่ปรับเปลี่ยนการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน
  • การบำบัดเพื่อจัดการอาการและภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ

การวินิจฉัยและรักษาภูมิคุ้มกันบกพร่องอย่างทันท่วงทีมีบทบาทสำคัญในการเพิ่มคุณภาพชีวิตและป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรง การสังเกตอาการที่อาจบ่งบอกถึงภูมิคุ้มกันบกพร่อง และปรึกษาแพทย์เพื่อการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะนี้