ยาเหลืองใช้กับแผลอะไร

8 การดู

ยาเหลืองที่ใช้กับแผลมีหลายชนิด ทิงเจอร์ไทเมอร์โรซอล (Thimerosal) 0.1% ใช้กับแผลสด แผลถลอก แต่ไม่ควรใช้กับผิวเด็กอ่อน ส่วนยาเหลือง (Acriflavin) ใช้กับแผลเรื้อรัง แผลเปื่อยที่กดทับได้ หลีกเลี่ยงการใช้กับแผลสด

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

ยาเหลืองกับแผล: เลือกใช้ให้ถูกประเภท เพื่อการรักษาที่ได้ผล

“ยาเหลือง” เป็นชื่อเรียกทั่วไปที่คนไทยคุ้นเคย แต่ความจริงแล้ว คำนี้ไม่ได้ระบุชนิดของยาอย่างเจาะจง ยาที่เรียกว่า “ยาเหลือง” นั้นมีหลายชนิด แต่ละชนิดมีคุณสมบัติและวิธีใช้ที่แตกต่างกันไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนำมาใช้กับแผล การเลือกใช้ยาเหลืองที่ไม่ถูกต้องอาจทำให้การรักษาแผลล่าช้าหรือแม้กระทั่งเกิดผลข้างเคียงได้ บทความนี้จะอธิบายประเภทยาเหลืองที่ใช้รักษาแผลบางชนิด พร้อมข้อควรระวังในการใช้

1. ทิงเจอร์ไทเมอร์โรซอล (Thimerosal) 0.1%: ยาเหลืองชนิดนี้มักมีลักษณะเป็นของเหลวสีเหลืองใส นิยมใช้กับแผลสด แผลถลอกเล็กๆน้อยๆ ที่ผิวหนังไม่ฉีกขาดลึก ช่วยฆ่าเชื้อโรคเบื้องต้น ป้องกันการติดเชื้อ แต่สำคัญมากที่ต้อง หลีกเลี่ยงการใช้กับผิวหนังของเด็กทารกหรือเด็กเล็ก เนื่องจากผิวหนังของเด็กยังบอบบาง อาจเกิดการระคายเคืองได้ง่าย

ข้อควรระวัง: แม้ทิงเจอร์ไทเมอร์โรซอลจะช่วยฆ่าเชื้อได้ แต่ไม่ควรใช้กับแผลที่มีการติดเชื้อรุนแรง หรือแผลลึก ควรปรึกษาแพทย์หากแผลมีอาการบวมแดง มีหนอง หรือมีอาการเจ็บปวดมากขึ้น

2. อะคริฟลาฟวิน (Acriflavin): ยาเหลืองชนิดนี้อาจมีสีเหลืองเข้มกว่า และมักใช้กับแผลเรื้อรัง แผลเปื่อย โดยเฉพาะแผลกดทับที่ติดเชื้อ คุณสมบัติในการฆ่าเชื้อโรคและช่วยให้แผลแห้ง แต่ ไม่ควรใช้กับแผลสด เพราะอาจทำให้การสมานแผลช้าลง และอาจเกิดการระคายเคืองได้

ข้อควรระวัง: อะคริฟลาฟวิน อาจทำให้เกิดการระคายเคืองได้ หากเกิดอาการแพ้ควรหยุดใช้และปรึกษาแพทย์ การใช้กับแผลที่มีการติดเชื้อรุนแรง ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ การใช้ยาชนิดนี้ควรเป็นไปตามคำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกรอย่างเคร่งครัด

สรุป:

การใช้ยาเหลืองรักษาแผลจำเป็นต้องเลือกใช้ให้ถูกต้องตามชนิดและประเภทของแผล ไม่ควรใช้ยาเหลืองทุกรูปแบบกับแผลทุกชนิด หากไม่แน่ใจควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร เพื่อรับคำแนะนำในการรักษาแผลอย่างเหมาะสม การรักษาแผลอย่างถูกวิธีจะช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น ลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ และป้องกันภาวะแทรกซ้อนต่างๆ อย่าลืมว่าการดูแลความสะอาดของแผลก็เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้การใช้ยา

หมายเหตุ: บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้เบื้องต้นเท่านั้น ไม่ใช่คำแนะนำทางการแพทย์ กรุณาปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาเสมอ