ลำไส้แปรปรวนมีกี่แบบ

8 การดู

โรคลำไส้แปรปรวนแบ่งออกเป็น 4 ประเภท ตามลักษณะอุจจาระที่ผิดปกติ เช่น ท้องผูก ถ่ายแข็ง หรือถ่ายเหลว ที่เด่นชัดในช่วง 2 สัปดาห์ก่อนพบแพทย์ ได้แก่ 1) โรคลำไส้แปรปรวนชนิดท้องผูกเด่น 2) ชนิดท้องเสียเด่น 3) ชนิดผสมท้องผูกและท้องเสีย และ 4) ชนิดที่ไม่สามารถจำแนกประเภทได้

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

โรคลำไส้แปรปรวน (IBS: Irritable Bowel Syndrome) เป็นภาวะที่ทำให้เกิดอาการปวดท้องและผิดปกติของการขับถ่าย อย่างไรก็ตาม ต่างจากโรคอื่นๆ ที่มีสาเหตุชัดเจน IBS ไม่ใช่โรคที่สร้างความเสียหายถาวรให้กับลำไส้ แต่อาการที่เกิดขึ้นสามารถรบกวนชีวิตประจำวันได้อย่างมาก การแบ่งประเภทของ IBS นั้นไม่ได้เป็นการระบุสาเหตุหรือโรคที่แท้จริง แต่เป็นการจำแนกอาการที่เด่นชัดเพื่อให้การวินิจฉัยและการรักษาได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

โดยทั่วไป โรคลำไส้แปรปรวนสามารถแบ่งออกเป็น 4 ประเภทหลัก ตามลักษณะอุจจาระที่ผิดปกติที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 2 สัปดาห์ ก่อนที่ผู้ป่วยจะพบแพทย์ ประเภทเหล่านี้ ได้แก่

1. โรคลำไส้แปรปรวนชนิดท้องผูกเด่น: ผู้ป่วยประสบกับอาการท้องผูกเป็นหลัก อาจมีอาการปวดท้อง ถ่ายอุจจาระแข็งหรือมีปัญหาในการถ่ายอุจจาระ รวมไปถึงอาการท้องอืดและแน่น ซึ่งอาการเหล่านี้จะปรากฏขึ้นอย่างสม่ำเสมอ

2. โรคลำไส้แปรปรวนชนิดท้องเสียเด่น: อาการท้องเสียเป็นอาการเด่น ผู้ป่วยอาจมีอาการปวดท้อง ถ่ายเหลวบ่อยครั้งและมีอาการปวดหรือกระตุกบริเวณท้อง บางรายอาจมีอาการคลื่นไส้และอาเจียนร่วมด้วย

3. โรคลำไส้แปรปรวนชนิดผสมท้องผูกและท้องเสีย: ผู้ป่วยประสบกับอาการทั้งท้องผูกและท้องเสียสลับกันไปมา อาการอาจมีการเปลี่ยนแปลงในความถี่และลักษณะของอุจจาระ โดยอาจมีช่วงเวลาที่ถ่ายเหลวและมีช่วงเวลาที่ถ่ายแข็งสลับกันไป

4. โรคลำไส้แปรปรวนชนิดที่ไม่สามารถจำแนกประเภทได้: ในกรณีที่อาการไม่สามารถจัดอยู่ในประเภทใดประเภทหนึ่งข้างต้น ผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลสุขภาพจะจำแนกเป็นประเภทนี้ การตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติมอาจจำเป็นเพื่อหาสาเหตุของอาการที่ไม่แน่นอน

การวินิจฉัยโรคลำไส้แปรปรวน จำเป็นต้องอาศัยการประเมินอย่างละเอียดจากแพทย์ รวมถึงการตรวจประวัติการเจ็บป่วย การตรวจร่างกาย และบางครั้งอาจต้องทำการตรวจทางห้องปฏิบัติการหรือการตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม เพื่อแยกความแตกต่างจากภาวะอื่นๆ ที่มีอาการคล้ายคลึงกัน

คำแนะนำ: ข้อมูลนี้มีไว้เพื่อให้ความรู้ทั่วไปเท่านั้น ไม่ควรนำไปใช้ในการวินิจฉัยหรือการรักษาด้วยตนเอง หากคุณมีอาการผิดปกติของระบบทางเดินอาหาร ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพเพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสม