หมอจะรู้ได้ยังไงว่าเราเป็นไส้ติ่ง

0 การดู

อาการไส้ติ่งอักเสบมักเริ่มจากปวดท้องน้อยด้านขวา บริเวณสะดือ อาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ไข้ต่ำ แพทย์จะประเมินอาการโดยการซักประวัติ ตรวจร่างกาย และอาจใช้การตรวจเลือด ตรวจอัลตราซาวด์ หรือ CT Scan เพื่อยืนยันการวินิจฉัย การรักษาที่ได้ผลดีที่สุดคือการผ่าตัดเอาไส้ติ่งออก

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

ไขปริศนา: คุณหมอรู้ได้อย่างไรว่าเราเป็นไส้ติ่ง?

อาการปวดท้องเป็นเรื่องที่ใครๆ ก็เคยเจอ แต่ถ้าอาการปวดนั้นเริ่มต้นจากบริเวณรอบสะดือแล้วค่อยๆ ย้ายไปปวดตุงที่ท้องน้อยด้านขวา พร้อมกับอาการคลื่นไส้ อาเจียน และไข้ต่ำๆ ล่ะ? อาการเหล่านี้อาจกำลังส่งสัญญาณเตือนว่า “ไส้ติ่ง” ของคุณกำลังมีปัญหา

แต่คุณหมอจะมั่นใจได้อย่างไรว่าอาการเหล่านี้บ่งชี้ถึงไส้ติ่งอักเสบจริงๆ? เพราะอาการปวดท้องอาจมีสาเหตุมากมาย ตั้งแต่ท้องเสียธรรมดา อาหารเป็นพิษ ไปจนถึงโรคอื่นๆ ที่ร้ายแรงกว่า

ขั้นตอนการสืบสวนโรค: จากอาการเบื้องต้นสู่การวินิจฉัยที่แม่นยำ

คุณหมอจะไม่ได้ปักใจเชื่อทันทีว่าคุณเป็นไส้ติ่งอักเสบ แต่จะเริ่มต้นกระบวนการ “สืบสวน” อย่างละเอียด เพื่อรวบรวมข้อมูลและประเมินความเป็นไปได้ต่างๆ โดยมีขั้นตอนหลักๆ ดังนี้:

  1. ซักประวัติอย่างละเอียด: การสนทนาซักถามอย่างละเอียดเป็นหัวใจสำคัญของการวินิจฉัย คุณหมอจะถามเกี่ยวกับ:

    • ลักษณะอาการปวด: เริ่มต้นที่ไหน? ปวดแบบไหน? ปวดตลอดเวลาหรือปวดเป็นพักๆ? มีอะไรที่ทำให้อาการดีขึ้นหรือแย่ลง?
    • อาการอื่นๆ: มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย หรือท้องผูกร่วมด้วยหรือไม่? มีไข้หรือไม่? ปัสสาวะเป็นปกติหรือไม่?
    • ประวัติทางการแพทย์: เคยผ่าตัดอะไรมาก่อนหรือไม่? มีโรคประจำตัวอะไรบ้าง? ทานยาอะไรเป็นประจำหรือไม่? ผู้หญิงจะถูกสอบถามเกี่ยวกับประจำเดือนและการตั้งครรภ์
  2. ตรวจร่างกายอย่างพิถีพิถัน: การตรวจร่างกายจะช่วยให้คุณหมอประเมินสภาพร่างกายของคุณอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตรวจบริเวณหน้าท้อง:

    • คลำหน้าท้อง: คุณหมอจะค่อยๆ กดและคลำบริเวณหน้าท้องเพื่อดูว่ามีจุดที่กดเจ็บเป็นพิเศษหรือไม่ โดยเฉพาะบริเวณ McBurney’s point ซึ่งเป็นตำแหน่งที่มักจะเจ็บมากที่สุดในผู้ป่วยไส้ติ่งอักเสบ
    • สังเกตอาการแสดงอื่นๆ: คุณหมอจะสังเกตอาการแสดงต่างๆ เช่น อาการ Rebound tenderness (เจ็บมากขึ้นเมื่อปล่อยมือจากการกดหน้าท้องอย่างรวดเร็ว) หรือ Rovsing’s sign (กดบริเวณท้องน้อยด้านซ้ายแล้วทำให้เกิดอาการปวดที่ท้องน้อยด้านขวา)
    • ตรวจร่างกายทั่วไป: คุณหมอจะตรวจดูอุณหภูมิ ชีพจร ความดันโลหิต และอาจตรวจฟังเสียงในช่องท้องเพื่อประเมินการทำงานของลำไส้
  3. การตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อไขปริศนา: หลังจากซักประวัติและตรวจร่างกายแล้ว คุณหมออาจส่งตรวจเพิ่มเติมเพื่อยืนยันการวินิจฉัย:

    • การตรวจเลือด: การตรวจเลือดจะช่วยตรวจสอบระดับเม็ดเลือดขาว ซึ่งมักจะสูงขึ้นในผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อ เช่น ไส้ติ่งอักเสบ นอกจากนี้ยังสามารถตรวจค่าอื่นๆ เช่น เอนไซม์ตับ เพื่อหาสาเหตุอื่นๆ ของอาการปวดท้อง
    • การตรวจปัสสาวะ: การตรวจปัสสาวะจะช่วยแยกแยะว่าอาการปวดท้องเกิดจากปัญหาในระบบทางเดินปัสสาวะหรือไม่ เช่น การติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ หรือนิ่วในไต
  4. ภาพวินิจฉัยเพื่อการมองเห็นที่ชัดเจน: ในบางกรณี คุณหมออาจจำเป็นต้องใช้เทคนิคการสร้างภาพเพื่อมองเห็นไส้ติ่งและอวัยวะภายในอื่นๆ ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น:

    • อัลตราซาวด์ (Ultrasound): การตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง เหมาะสำหรับเด็กและหญิงตั้งครรภ์ เนื่องจากไม่มีรังสี แต่ข้อจำกัดคืออาจเห็นไส้ติ่งได้ไม่ชัดเจนในผู้ใหญ่
    • การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan): การตรวจด้วยรังสีเอกซ์ที่ให้ภาพละเอียดและแม่นยำ สามารถมองเห็นไส้ติ่งที่อักเสบได้ชัดเจน แต่มีข้อเสียคือมีการสัมผัสรังสี
    • การตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI): เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ให้ภาพละเอียดโดยไม่มีรังสี แต่มีค่าใช้จ่ายสูงกว่า

เมื่อทุกชิ้นส่วนของปริศนามาประกอบกัน:

เมื่อคุณหมอรวบรวมข้อมูลทั้งหมด ทั้งจากประวัติ การตรวจร่างกาย และผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการแล้ว จะนำมาวิเคราะห์และประเมินความน่าจะเป็นของสาเหตุต่างๆ ของอาการปวดท้อง หากมีความเป็นไปได้สูงว่าคุณเป็นไส้ติ่งอักเสบ คุณหมอจะแนะนำให้ทำการผ่าตัดเอาไส้ติ่งออก ซึ่งเป็นการรักษาที่ได้ผลดีที่สุดสำหรับไส้ติ่งอักเสบ

สิ่งที่ควรจำ:

  • หากคุณมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงที
  • อย่าพยายามวินิจฉัยอาการด้วยตัวเอง การวินิจฉัยที่แม่นยำต้องอาศัยความเชี่ยวชาญของแพทย์
  • การรักษาไส้ติ่งอักเสบที่ทันท่วงทีสามารถป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงได้

หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจขั้นตอนการวินิจฉัยไส้ติ่งอักเสบได้ดียิ่งขึ้น และตระหนักถึงความสำคัญของการพบแพทย์เมื่อมีอาการผิดปกติ