หมู่โลหิต Rh(DEL) คืออะไร

1 การดู

ระบบหมู่โลหิตนอกเหนือจาก ABO ยังมีระบบ Rh ซึ่งขึ้นอยู่กับการมีหรือไม่มีแอนติเจน D บนผิวเซลล์เม็ดเลือดแดง หากมีแอนติเจน D จะเป็น Rh+ แต่หากไม่มี จะเป็น Rh- ความแตกต่างนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในการถ่ายเลือดและการตั้งครรภ์ โดยเฉพาะในกรณีที่มารดามี Rh- และทารกมี Rh+

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

Rh(DEL): ความลับเบื้องหลังความเข้ากันได้ของเลือดที่ซับซ้อนกว่าที่คิด

ระบบหมู่โลหิต ABO ที่เราคุ้นเคยกันดีนั้น แท้จริงเป็นเพียงส่วนหนึ่งของระบบจำแนกหมู่โลหิตที่ซับซ้อนกว่ามาก นอกเหนือจาก ABO แล้ว ยังมีระบบ Rh ซึ่งมีความสำคัญไม่แพ้กัน และในระบบ Rh นี้เอง มีความแปรปรวนที่น่าสนใจอย่างหนึ่ง คือ Rh(DEL) ซึ่งหลายคนอาจยังไม่เคยได้ยินชื่อ

เราทราบกันดีว่าระบบ Rh ขึ้นอยู่กับการมีหรือไม่มีของแอนติเจน D บนผิวเซลล์เม็ดเลือดแดง มีแอนติเจน D คือ Rh+ ไม่มีคือ Rh- แต่ความจริงแล้ว แอนติเจน D นั้นไม่ได้เป็นเพียงแค่ “มี” หรือ “ไม่มี” อย่างง่ายๆ มันมีความซับซ้อนในระดับโมเลกุล ที่ส่งผลต่อการแสดงออกของแอนติเจนนี้ และนี่คือที่มาของ Rh(DEL)

Rh(DEL) หรือที่เรียกว่า Rhnull เป็นภาวะที่หายากมาก ซึ่งบุคคลเหล่านั้น ไม่มีแอนติเจนใดๆในระบบ Rh เลย แตกต่างจาก Rh- ที่ยังมีแอนติเจนอื่นๆในระบบ Rh อยู่ แต่ Rhnull ไม่มีเลย นั่นหมายความว่าเซลล์เม็ดเลือดแดงของพวกเขาดูเหมือนจะ “เปลือยเปล่า” ในแง่ของแอนติเจน Rh

ความหายากของ Rhnull ทำให้การศึกษาเกี่ยวกับมันค่อนข้างจำกัด แต่สิ่งที่เรารู้คือ บุคคลที่มี Rhnull มักจะมีภาวะแทรกซ้อนทางโลหิตวิทยา เช่น ภาวะโลหิตจาง เนื่องจากเซลล์เม็ดเลือดแดงของพวกเขามีความผิดปกติ อาจมีรูปร่างผิดไป และมีอายุสั้นกว่าปกติ นอกจากนี้ การถ่ายเลือดให้กับผู้ที่มี Rhnull เป็นเรื่องยากมาก เนื่องจากเลือดที่เข้ากันได้นั้นหาได้ยากยิ่ง โดยมักจำเป็นต้องใช้เลือดจากผู้ที่มี Rhnull เหมือนกัน หรือในบางกรณีอาจต้องใช้เลือดจากผู้ที่มี Rh- แต่ก็ยังมีความเสี่ยงอยู่ เพราะแม้จะเป็น Rh- แต่ก็อาจมีแอนติเจนอื่นๆในระบบ Rh ที่ร่างกายของผู้ป่วยอาจสร้างแอนติบอดีต่อต้านได้

การค้นพบ Rh(DEL) และการศึกษาต่อเนื่อง ช่วยให้เราเข้าใจความซับซ้อนของระบบหมู่โลหิตมากขึ้น และเน้นย้ำถึงความสำคัญของการตรวจเลือดอย่างละเอียด โดยเฉพาะอย่างยิ่งก่อนการถ่ายเลือด และในระหว่างการตั้งครรภ์ เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ Rh(DEL) จึงไม่ใช่แค่เพียงความแปรปรวนทางพันธุกรรม แต่เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการวิจัยทางการแพทย์อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เราสามารถดูแลผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และเข้าใจความลับเบื้องหลังความเข้ากันได้ของเลือดอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น