อาการปัสสาวะคั่งคืออะไร

2 การดู

ภาวะปัสสาวะค้างเป็นความผิดปกติที่ร่างกายไม่สามารถระบายปัสสาวะออกได้อย่างสมบูรณ์ อาจเกิดจากการอุดตันของท่อปัสสาวะ กล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะทำงานผิดปกติ หรือปัญหาทางระบบประสาท ผู้ป่วยอาจรู้สึกปวดเบ่งปัสสาวะแต่ถ่ายได้น้อยหรือไม่เลย หากพบอาการควรปรึกษาแพทย์โดยเร็วเพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาที่เหมาะสม

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

ปัสสาวะคั่ง: ภัยเงียบที่ต้องใส่ใจ สัญญาณเตือนและการจัดการอย่างถูกวิธี

ภาวะปัสสาวะคั่ง (Urinary Retention) คือ สภาวะที่ร่างกายไม่สามารถขับปัสสาวะออกจากกระเพาะปัสสาวะได้อย่างหมดจด ถึงแม้จะรู้สึกปวดปัสสาวะก็ตาม ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงได้หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง

ภาวะนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในผู้สูงอายุเท่านั้น แต่สามารถเกิดขึ้นได้ในทุกเพศทุกวัย โดยมีสาเหตุและลักษณะอาการที่แตกต่างกันไป

ทำความเข้าใจสาเหตุ: อะไรคือปัจจัยเสี่ยง?

สาเหตุของภาวะปัสสาวะคั่งมีความหลากหลาย สามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลักๆ ได้แก่

  • ภาวะปัสสาวะคั่งเฉียบพลัน (Acute Urinary Retention): มักเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน และไม่สามารถปัสสาวะได้เลย สาเหตุที่พบบ่อย ได้แก่
    • การอุดตันของท่อปัสสาวะ: เช่น นิ่วในทางเดินปัสสาวะ ต่อมลูกหมากโตในผู้ชาย หรือเนื้องอกที่กดทับท่อปัสสาวะ
    • ผลข้างเคียงจากยาบางชนิด: โดยเฉพาะยาแก้แพ้ ยาแก้หวัด ยาแก้ปวดกลุ่มโอปิออยด์ และยาคลายกล้ามเนื้อ
    • การบาดเจ็บ: เช่น การบาดเจ็บที่กระดูกเชิงกรานหรือไขสันหลัง
    • การผ่าตัด: โดยเฉพาะการผ่าตัดบริเวณท้องน้อยหรือกระดูกเชิงกราน
  • ภาวะปัสสาวะคั่งเรื้อรัง (Chronic Urinary Retention): มักเกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป และอาจมีอาการไม่ชัดเจน ทำให้ผู้ป่วยไม่ทันสังเกต สาเหตุที่พบบ่อย ได้แก่
    • กล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะอ่อนแรง: มักพบในผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีโรคประจำตัวบางอย่าง เช่น โรคเบาหวาน
    • ความผิดปกติของระบบประสาท: เช่น โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง (Multiple Sclerosis) โรคพาร์กินสัน หรือภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวานที่ส่งผลต่อระบบประสาท
    • การอุดตันบางส่วนของท่อปัสสาวะ: เช่น ต่อมลูกหมากโตในระยะเริ่มต้น หรือการตีบแคบของท่อปัสสาวะ

สังเกตอาการ: สัญญาณเตือนที่ควรรู้

อาการของภาวะปัสสาวะคั่งอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับชนิดของภาวะปัสสาวะคั่งและสาเหตุที่เกิดขึ้น

  • อาการที่พบได้บ่อยในภาวะปัสสาวะคั่งเฉียบพลัน:
    • ไม่สามารถปัสสาวะได้เลย
    • ปวดท้องน้อยอย่างรุนแรง
    • รู้สึกปวดเบ่งปัสสาวะมาก
  • อาการที่พบได้บ่อยในภาวะปัสสาวะคั่งเรื้อรัง:
    • ปัสสาวะบ่อยกว่าปกติ โดยเฉพาะในเวลากลางคืน
    • ปัสสาวะไม่สุด หรือรู้สึกว่ากระเพาะปัสสาวะยังไม่ว่างเปล่า
    • ปัสสาวะไหลออกมาเองโดยไม่รู้ตัว (Urinary Incontinence)
    • ปัสสาวะไหลอ่อน หรือต้องเบ่งปัสสาวะ
    • ติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะบ่อยครั้ง

การวินิจฉัยและการรักษา: ก้าวแรกสู่การฟื้นฟู

หากสงสัยว่าตนเองมีอาการของภาวะปัสสาวะคั่ง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยและรับการรักษาที่เหมาะสม โดยแพทย์จะทำการซักประวัติ ตรวจร่างกาย และอาจทำการตรวจเพิ่มเติม เช่น

  • การตรวจปัสสาวะ: เพื่อตรวจหาการติดเชื้อ หรือความผิดปกติอื่นๆ
  • การตรวจวัดปริมาณปัสสาวะที่เหลือค้างในกระเพาะปัสสาวะ (Post Void Residual Volume – PVR): เพื่อประเมินความสามารถในการขับปัสสาวะ
  • การตรวจอัลตราซาวนด์ (Ultrasound): เพื่อดูภาพของกระเพาะปัสสาวะและอวัยวะอื่นๆ ในบริเวณนั้น
  • การส่องกล้องตรวจกระเพาะปัสสาวะ (Cystoscopy): เพื่อดูภายในกระเพาะปัสสาวะและท่อปัสสาวะ

การรักษาภาวะปัสสาวะคั่งขึ้นอยู่กับสาเหตุและความรุนแรงของอาการ โดยมีเป้าหมายหลักคือการระบายปัสสาวะออกจากกระเพาะปัสสาวะ และแก้ไขสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะนี้

  • การใส่สายสวนปัสสาวะ (Urinary Catheterization): เป็นวิธีที่ใช้ในการระบายปัสสาวะออกจากกระเพาะปัสสาวะโดยตรง มักใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยไม่สามารถปัสสาวะได้เอง หรือมีอาการปวดอย่างรุนแรง
  • การใช้ยา: เช่น ยาคลายกล้ามเนื้อเรียบของกระเพาะปัสสาวะ หรือยาที่ช่วยลดขนาดของต่อมลูกหมากในผู้ชาย
  • การผ่าตัด: อาจจำเป็นในกรณีที่ภาวะปัสสาวะคั่งเกิดจากการอุดตันของท่อปัสสาวะ หรือความผิดปกติอื่นๆ ที่ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยวิธีอื่น

การดูแลตนเอง: แนวทางเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี

นอกเหนือจากการรักษาทางการแพทย์แล้ว การดูแลตนเองอย่างเหมาะสมก็มีส่วนสำคัญในการจัดการกับภาวะปัสสาวะคั่ง

  • ดื่มน้ำในปริมาณที่เหมาะสม: หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำมากเกินไปก่อนนอน เพื่อลดความถี่ในการปัสสาวะตอนกลางคืน
  • ฝึกการกลั้นปัสสาวะ (Bladder Training): สามารถช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะ
  • หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนและแอลกอฮอล์: สารเหล่านี้มีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ซึ่งอาจทำให้ปัสสาวะบ่อยขึ้น
  • ปรึกษาแพทย์หรือนักกายภาพบำบัด: เพื่อเรียนรู้เทคนิคการออกกำลังกายที่เหมาะสม เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน
  • สังเกตอาการและรายงานให้แพทย์ทราบ: หากมีอาการเปลี่ยนแปลง หรือมีอาการแย่ลง

สรุป:

ภาวะปัสสาวะคั่งเป็นภาวะที่ต้องได้รับการดูแลอย่างจริงจัง การตระหนักถึงความสำคัญของอาการ การวินิจฉัยที่ถูกต้อง และการรักษาที่เหมาะสม ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญในการป้องกันภาวะแทรกซ้อนและช่วยให้ผู้ป่วยกลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดีได้ ดังนั้น หากคุณสงสัยว่าตนเองมีอาการของภาวะปัสสาวะคั่ง อย่าลังเลที่จะปรึกษาแพทย์เพื่อขอคำแนะนำและการรักษาที่เหมาะสม