เป็นไข้ทําไงให้หายไวๆ

ไข้ขึ้นมา…จัดการยังไงให้หายไว? วิธีดูแลตัวเองแบบฉบับไม่ลอกเลียนแบบ

ไข้ เป็นสัญญาณเตือนจากร่างกายที่บ่งบอกว่าเรากำลังต่อสู้กับการติดเชื้อ หรือมีภาวะผิดปกติบางอย่าง แม้จะเป็นอาการที่พบได้บ่อย แต่การรับมืออย่างถูกวิธีจะช่วยให้เราหายป่วยเร็วขึ้นและลดความทรมานได้ บทความนี้จะแนะนำวิธีบรรเทาอาการไข้แบบง่ายๆ ที่บ้าน โดยเน้นการดูแลตนเองอย่างถูกต้อง และสำคัญที่สุดคือ เมื่อไรควรไปพบแพทย์

1. เติมน้ำและอิเล็กโทรไลต์ให้ร่างกาย: ไข้ทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำและเกลือแร่ (อิเล็กโทรไลต์) การดื่มน้ำสะอาดมากๆ เป็นสิ่งจำเป็น ลองดื่มน้ำอุ่นผสมมะนาวเล็กน้อย หรือน้ำเกลือแร่ (ORS) เพื่อช่วยชดเชย การดื่มน้ำผลไม้ที่มีโพแทสเซียมสูง เช่น น้ำมะพร้าว ก็เป็นทางเลือกที่ดี แต่ควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง เพราะจะยิ่งทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำมากขึ้น

2. พักผ่อนอย่างเต็มที่: การพักผ่อนเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการต่อสู้กับไข้ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอในห้องที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก ห้องควรมีอุณหภูมิที่เหมาะสม ไม่ร้อนหรือเย็นจนเกินไป การนอนหลับจะช่วยให้ร่างกายมีพลังในการซ่อมแซมตัวเอง

3. ประคบเย็นหรืออุ่น? แล้วแต่ความสบายตัว: การประคบด้วยผ้าชุบน้ำอุ่นหรือเย็นบริเวณหน้าผากอาจช่วยลดอุณหภูมิร่างกายได้ แต่ควรเลือกวิธีที่ทำให้รู้สึกสบายตัวที่สุด หากรู้สึกว่าผ้าอุ่นช่วยบรรเทาได้ดีกว่า ก็ใช้ผ้าอุ่น หากรู้สึกว่าผ้าเย็นดีกว่า ก็ใช้ผ้าเย็น อย่าประคบเย็นหรืออุ่นนานเกินไป เพื่อป้องกันผิวหนังระคายเคือง

4. หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก: ในช่วงที่เป็นไข้ ร่างกายต้องการพลังงานทั้งหมดเพื่อต่อสู้กับการติดเชื้อ การออกกำลังกายหนักจะยิ่งทำให้ร่างกายอ่อนล้าและใช้พลังงานมากขึ้น ควรพักผ่อนให้มากที่สุด และทำกิจกรรมเบาๆ เท่านั้น เช่น การเดินเล่นเบาๆ ในบ้าน

5. รับประทานอาหารอ่อนๆ ย่อยง่าย: เลือกอาหารที่ย่อยง่าย เช่น โจ๊ก ข้าวต้ม ซุป ผลไม้ที่สุกงอม หลีกเลี่ยงอาหารมันๆ เผ็ดๆ และอาหารที่มีรสจัด เพราะจะยิ่งทำให้อาการแย่ลง

6. เมื่อไรควรไปพบแพทย์?

ถึงแม้วิธีการเหล่านี้จะช่วยบรรเทาอาการได้ แต่หากอาการไข้ไม่ดีขึ้นภายใน 3-5 วัน หรือมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น ปวดศีรษะอย่างรุนแรง ไอ เจ็บคออย่างรุนแรง มีผื่นขึ้น อาเจียน ท้องเสีย หรือมีอาการอื่นๆ ที่ผิดปกติ ควรไปพบแพทย์โดยทันที อย่ารอจนอาการแย่ลง การรักษาที่ทันท่วงทีจะช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้

บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้เบื้องต้นเท่านั้น ไม่สามารถใช้แทนคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ หากมีข้อสงสัยหรือกังวลใดๆ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรเสมอ