เรียกรถพยาบาล กรณีไหน

เมื่อใดควรเรียกรถพยาบาล?

การเรียกรถพยาบาลในสถานการณ์ฉุกเฉินเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาทางการแพทย์ที่จำเป็นทันท่วงที ต่อไปนี้คือกรณีที่ควรเรียกรถพยาบาลโดยไม่ลังเล:

• หมดสติหรือไม่รู้สึกตัว: เมื่อผู้ป่วยไม่ตอบสนองต่อการกระตุ้นใดๆ เช่น การเรียกชื่อหรือเขย่าไหล่ แสดงว่าอาจอยู่ในภาวะหมดสติหรือไม่รู้สึกตัว ซึ่งอาจเกิดจากการบาดเจ็บที่ศีรษะ โรคหลอดเลือดสมอง หรือภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ควรรีบเรียกรถพยาบาลเพื่อประเมินและรักษาภาวะเหล่านี้อย่างเร่งด่วน

• อาการชักต่อเนื่อง: อาการชักที่กินเวลานานกว่า 5 นาที หรือมีอาการชักหลายครั้งติดต่อกันโดยไม่มีช่วงเวลาพักฟื้นระหว่างนั้น ถือเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ที่เรียกว่า “สถานะชัก” ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงได้ ควรรีบเรียกรถพยาบาลเพื่อให้แพทย์สามารถให้ยาเพื่อหยุดอาการชักและป้องกันความเสียหายต่อสมอง

• อาการหัวใจวายหรือโรคหลอดเลือดสมอง: อาการเหล่านี้มีลักษณะทั่วไปคล้ายกัน ได้แก่ เจ็บแน่นหน้าอก หายใจลำบาก คลื่นไส้ อาเจียน เหงื่อออก และความอ่อนแรงหรือชาที่แขนหรือขาข้างใดข้างหนึ่ง เมื่อสงสัยว่าผู้ป่วยมีอาการหัวใจวายหรือโรคหลอดเลือดสมอง ควรรีบเรียกรถพยาบาลทันที เพราะการรักษาที่รวดเร็วสามารถลดความเสี่ยงต่อความเสียหายถาวรต่อหัวใจหรือสมอง

• ภาวะเลือดออกรุนแรง: หากผู้ป่วยมีแผลหรือบาดแผลที่เลือดออกมากและไม่สามารถหยุดเลือดได้ด้วยวิธีการกดหรือพันแผลตามปกติ ควรรีบเรียกรถพยาบาลเพื่อป้องกันการสูญเสียเลือดมากเกินไป

• ภาวะกระดูกหักหรือข้อเคลื่อนรุนแรง: หากผู้ป่วยมีอาการปวดรุนแรง บวม หรือผิดรูปที่กระดูกหรือข้อ ควรรีบเรียกรถพยาบาลเพื่อให้แพทย์สามารถจัดกระดูกให้เข้าที่และป้องกันความเสียหายเพิ่มเติม

• ภาวะแพ้อย่างรุนแรง (Anaphylaxis): ภาวะนี้เกิดจากการแพ้สารบางอย่างอย่างรุนแรง อาการได้แก่ ลมพิษ ผื่นแดง บวม หายใจลำบาก และคลื่นไส้ หากสงสัยว่าผู้ป่วยมีภาวะแพ้อย่างรุนแรง ควรรีบเรียกรถพยาบาลและให้ยาฉีดอะดรีนาลีน (Epinephrine) เพื่อบรรเทาอาการ

เมื่อพบผู้ป่วยที่มีอาการดังกล่าวข้างต้น อย่ารอช้า รีบเรียกรถพยาบาลโดยด่วน การรักษาที่รวดเร็วและเหมาะสมสามารถช่วยชีวิตผู้ป่วยและป้องกันภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงได้