เสียงวี๊ดในปอดเป็นยังไง

6 การดู

เสียงผิดปกติในปอดอาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น การอักเสบของหลอดลมเล็กๆ ทำให้เกิดเสียงหวีด (wheezing) หรือเสียงแตกเปาะ (crackles) ขณะที่การมีเสมหะมากอาจทำให้เกิดเสียงดังก้อง (rhonchi) การวินิจฉัยที่ถูกต้องจำเป็นต้องอาศัยการตรวจร่างกายและการตรวจเพิ่มเติมโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ อย่าพึ่งวินิจฉัยตนเอง

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

เสียงวี๊ดในปอด: เสียงผิดปกติที่บ่งบอกถึงปัญหาสุขภาพ

เสียงวี๊ดในปอด (Wheezing) เป็นเสียงดังที่เกิดจากการจำกัดการไหลเวียนของอากาศในหลอดลม คล้ายกับเสียงหวีด หรือเสียงดังวูบวาบ เสียงนี้มักเกิดจากการอักเสบหรือการบีบตัวของหลอดลม ซึ่งสามารถเกิดได้ในหลอดลมขนาดต่างๆ ทำให้การหายใจมีเสียงดังผิดปกติ โดยทั่วไป เสียงวี๊ดจะมักมีเสียงดังมากขึ้นในระหว่างหายใจออก เพราะการหายใจเข้าออกเป็นไปด้วยความยากลำบาก

สาเหตุของเสียงวี๊ดในปอดนั้นหลากหลาย ไม่ใช่แค่การอักเสบของหลอดลมเท่านั้น อาการอื่นๆ ที่อาจทำให้เกิดเสียงวี๊ด ได้แก่:

  • โรคหอบหืด: เป็นโรคที่ทำให้หลอดลมอักเสบและบีบตัว ส่งผลให้เกิดการอุดกั้นของลมหายใจ ทำให้มีเสียงวี๊ด
  • โรคถุงลมโป่งพอง (COPD): อาการนี้เกิดจากการอักเสบเรื้อรังของหลอดลมและถุงลม ทำให้เกิดการขยายตัวและทำลายของเนื้อเยื่อปอด ทำให้มีเสียงวี๊ดและมีอาการหายใจลำบาก
  • โรคภูมิแพ้: อาการแพ้ต่างๆ อาจทำให้เกิดการอักเสบของหลอดลมได้ ทำให้เกิดเสียงวี๊ด
  • การติดเชื้อทางเดินหายใจ: เช่น ไวรัสหรือแบคทีเรีย อาจทำให้เกิดการอักเสบของหลอดลม ทำให้เกิดเสียงวี๊ด
  • อาการอื่นๆ: อาการอื่นๆ เช่น การมีเสมหะมากมาย การมีน้ำอยู่บริเวณปอด หรือการมีอากาศคั่งอยู่ในปอด อาจทำให้เกิดเสียงวี๊ดได้เช่นกัน

ลักษณะของเสียงวี๊ด

การระบุว่าเสียงวี๊ดนั้นเกิดจากสาเหตุใดนั้น ต้องอาศัยการสังเกตเสียงที่ละเอียด เช่น เสียงจะดังมากขึ้นเมื่อไร หายใจเข้าหรือหายใจออก เสียงดังตลอดทั้งวันหรือมีอาการเป็นๆหายๆ การสังเกตอาการร่วมอื่นๆ เช่น การมีไข้ ไอ หรือมีเสมหะ จะช่วยให้แพทย์วินิจฉัยได้แม่นยำยิ่งขึ้น

เมื่อไหร่ควรไปพบแพทย์

หากท่านหรือบุคคลรอบข้างมีเสียงวี๊ดในปอด ควรพบแพทย์โดยเร็ว เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและการรักษา แพทย์จะทำการตรวจร่างกาย ฟังเสียงปอด และอาจสั่งตรวจเพิ่มเติม เช่น การตรวจเอ็กซเรย์ทรวงอก หรือการตรวจทางห้องปฏิบัติการ เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงของเสียงวี๊ด และเพื่อให้ได้รับการรักษาที่เหมาะสม อย่าพยายามวินิจฉัยหรือรักษาตนเอง

ข้อควรระวัง: บทความนี้มีไว้เพื่อความรู้ทั่วไปเท่านั้น ไม่สามารถใช้แทนคำแนะนำทางการแพทย์จากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ หากท่านมีข้อสงสัยหรือมีอาการเกี่ยวกับสุขภาพ กรุณาปรึกษาแพทย์โดยตรง