แบบไหนถึงเรียกว่าประจำเดือนมาไม่ปกติ

ประจำเดือนมาไม่ปกติ: สัญญาณเตือนที่คุณไม่ควรมองข้าม

ประจำเดือนเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่บ่งบอกถึงสุขภาพสืบพันธุ์ของผู้หญิง แต่รู้หรือไม่ว่า ประจำเดือนที่ “ปกติ” นั้นแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล จึงไม่ควรนำมาตรฐานของคนอื่นมาเป็นตัวตัดสิน อย่างไรก็ตาม หากมีการเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด ควรให้ความสำคัญและปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัย

ความผิดปกติของประจำเดือนสามารถแสดงออกได้หลายรูปแบบ มากกว่าแค่การมาไม่ตรงเวลาหรือปริมาณที่เปลี่ยนแปลง บางครั้งสัญญาณเตือนเหล่านี้อาจเป็นตัวบ่งชี้ปัญหาสุขภาพที่สำคัญ ดังนั้น การเรียนรู้ที่จะแยกแยะความผิดปกติจึงเป็นสิ่งจำเป็น

แบบไหนถึงเรียกว่าประจำเดือนมาไม่ปกติ?

ประจำเดือนที่ผิดปกติไม่ได้หมายถึงแค่การมาไม่ตรงวัน แต่ครอบคลุมถึงปริมาณ ระยะเวลา และลักษณะของเลือดที่ผิดปกติไปจากแบบแผนปกติของแต่ละบุคคล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากมีอาการดังต่อไปนี้ ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็วที่สุด:

• เลือดออกมากผิดปกติ (Menorrhagia): หมายถึงปริมาณเลือดที่มากเกินไป โดยวัดได้จากการต้องเปลี่ยนผ้าอนามัยหรือผ้าอนามัยแบบซับ ทุกชั่วโมงหรือบ่อยกว่านั้น หรือต้องตื่นกลางดึกเพื่อเปลี่ยน อาการนี้ไม่ใช่แค่รู้สึกว่าเลือดออกเยอะขึ้นเล็กน้อย แต่เป็นการเสียเลือดในปริมาณมากจนส่งผลต่อสุขภาพ เช่น รู้สึกอ่อนเพลีย ซีด หรือวิงเวียนศีรษะ

• เลือดออกนานเกินไป (Prolongation): ประจำเดือนปกติมักจะกินเวลาประมาณ 3-7 วัน แต่หากเลือดออกต่อเนื่องนานกว่า 7 วัน โดยไม่มีสัญญาณของการหยุด นั่นอาจเป็นสัญญาณของความผิดปกติ

• ช่วงเว้นระหว่างประจำเดือนสั้นเกินไป (Polymenorrhea): หากประจำเดือนมาบ่อยกว่าทุกๆ 21 วัน เช่น มาทุกๆ 14 วัน ถือเป็นความผิดปกติ

• ช่วงเว้นระหว่างประจำเดือนยาวเกินไป (Oligomenorrhea): ในทางตรงกันข้าม หากประจำเดือนมาห่างกว่าทุกๆ 35 วัน เช่น มาเดือนเว้นเดือน หรือไม่มาเลยเป็นเวลาหลายเดือน ก็เป็นอีกหนึ่งสัญญาณของความผิดปกติ

• เลือดออกผิดปกติระหว่างรอบเดือน (Metrorrhagia): คือการมีเลือดออกทางช่องคลอดนอกเหนือจากช่วงประจำเดือนปกติ อาจเป็นเลือดออกเล็กน้อยหรือปริมาณมากก็ได้

• เลือดออกหลังหมดประจำเดือน (Postmenopausal bleeding): การมีเลือดออกทางช่องคลอดหลังจากหมดประจำเดือนไปแล้ว เป็นสัญญาณที่ต้องได้รับการตรวจอย่างเร่งด่วน

อย่าเพิกเฉยต่อสัญญาณเตือนเหล่านี้

ความผิดปกติของประจำเดือนอาจเกิดจากหลายสาเหตุ ตั้งแต่ความเครียด การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ไปจนถึงโรคทางนรีเวชต่างๆ เช่น เนื้องอกในมดลูก ถุงน้ำรังไข่ หรือแม้แต่โรคโลหิตจาง การตรวจหาสาเหตุที่ถูกต้องจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้ได้รับการรักษาที่เหมาะสม และป้องกันภาวะแทรกซ้อนในอนาคต

การปรึกษาแพทย์เป็นสิ่งสำคัญที่สุด อย่ารอจนกว่าอาการจะรุนแรงขึ้น หากคุณสังเกตเห็นความผิดปกติใดๆ ควรปรึกษาแพทย์หรือสูตินรีแพทย์เพื่อรับคำแนะนำและการตรวจวินิจฉัย เพื่อให้มั่นใจว่าคุณได้รับการดูแลสุขภาพอย่างเหมาะสม และมีสุขภาพที่ดี แข็งแรง ต่อไป