โรคที่เกี่ยวกับไขสันหลัง มีอะไรบ้าง

1 การดู

ปัญหาไขสันหลังมีหลากหลาย ตั้งแต่การอักเสบเฉียบพลันเช่นเยื่อหุ้มสมองอักเสบไขสันหลัง ไปจนถึงภาวะเรื้อรังเช่นหมอนรองกระดูกสันหลังเสื่อมกดทับเส้นประสาท ส่งผลให้เกิดอาการปวดชา บวม และเคลื่อนไหวลำบาก ปรึกษาแพทย์เพื่อวินิจฉัยและรับการรักษาที่เหมาะสม

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

โรคไขสันหลัง: มากกว่าแค่ปวดหลังที่คุณควรรู้

ไขสันหลัง เปรียบเสมือนถนนสายหลักที่เชื่อมโยงสมองกับร่างกายทั้งหมดของเรา ทำหน้าที่ส่งสัญญาณประสาทควบคุมการเคลื่อนไหว ความรู้สึก และการทำงานของอวัยวะภายใน ดังนั้น เมื่อเกิดปัญหาที่ไขสันหลัง ผลกระทบที่ตามมาจึงสามารถส่งผลต่อคุณภาพชีวิตอย่างมาก บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับโรคไขสันหลังบางส่วน ที่อาจไม่ใช่แค่ “ปวดหลัง” อย่างที่คิด

ทำความเข้าใจโครงสร้างไขสันหลังเบื้องต้น

ก่อนจะไปถึงเรื่องโรค เรามาทำความเข้าใจโครงสร้างของไขสันหลังกันก่อน ไขสันหลังตั้งอยู่ในช่องกระดูกสันหลังที่ปกป้องไว้ ภายในไขสันหลังประกอบไปด้วยเส้นประสาทมากมายที่แตกแขนงออกไปทั่วร่างกาย นอกจากนี้ยังมีหมอนรองกระดูกสันหลังซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวรองรับแรงกระแทกและช่วยให้กระดูกสันหลังเคลื่อนไหวได้อย่างราบรื่น

เมื่อ “ถนนสายหลัก” เกิดปัญหา: โรคไขสันหลังที่พบบ่อย

ปัญหาที่ไขสันหลังมีได้หลากหลายสาเหตุและอาการ แต่โรคที่พบบ่อยมีดังนี้:

  • หมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อน (Herniated Disc): เมื่อหมอนรองกระดูกสันหลังฉีกขาดหรือเคลื่อนตัว ส่วนที่ยื่นออกมาจะไปกดทับเส้นประสาท ทำให้เกิดอาการปวด ชา อ่อนแรง ที่หลัง ขา หรือเท้า ขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่เกิดปัญหา
  • กระดูกสันหลังตีบแคบ (Spinal Stenosis): ช่องกระดูกสันหลังแคบลง ทำให้เกิดการกดทับไขสันหลังและเส้นประสาท อาการที่พบคือ ปวดหลัง ชา อ่อนแรงที่ขา มักเป็นมากขึ้นเมื่อเดินหรือยืนนานๆ
  • เยื่อหุ้มสมองอักเสบไขสันหลัง (Myelitis): การอักเสบของไขสันหลัง มักมีสาเหตุจากการติดเชื้อไวรัส แบคทีเรีย หรือโรคภูมิต้านตนเอง ทำให้เกิดอาการปวดหลัง ชา อ่อนแรง กลั้นปัสสาวะอุจจาระไม่ได้
  • เนื้องอกไขสันหลัง (Spinal Cord Tumor): การเจริญเติบโตของเซลล์ที่ผิดปกติในไขสันหลัง อาจเป็นเนื้อร้ายหรือไม่ร้ายก็ได้ เนื้องอกจะกดทับไขสันหลังและเส้นประสาท ทำให้เกิดอาการปวด ชา อ่อนแรง และปัญหาอื่นๆ ขึ้นอยู่กับตำแหน่งและขนาดของเนื้องอก
  • ไขสันหลังบาดเจ็บ (Spinal Cord Injury): เกิดจากการได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ หรือการถูกทำร้าย ส่งผลให้ไขสันหลังได้รับความเสียหาย ทำให้เกิดอาการอ่อนแรง อัมพาต สูญเสียความรู้สึก และปัญหาอื่นๆ ขึ้นอยู่กับความรุนแรงและตำแหน่งของการบาดเจ็บ
  • ภาวะไขสันหลังขาดเลือด (Spinal Cord Infarction): การขาดเลือดไปเลี้ยงไขสันหลัง ทำให้เซลล์ประสาทตาย อาจเกิดจากเส้นเลือดแดงใหญ่ที่เลี้ยงไขสันหลังอุดตัน หรือแตก ส่งผลให้เกิดอาการอ่อนแรง อัมพาต สูญเสียความรู้สึกอย่างเฉียบพลัน

อาการที่ควรสังเกตและไปพบแพทย์

อาการของโรคไขสันหลังมีความหลากหลาย ขึ้นอยู่กับชนิด ความรุนแรง และตำแหน่งของโรค แต่สัญญาณเตือนที่ควรสังเกตและรีบไปพบแพทย์มีดังนี้:

  • ปวดหลังเรื้อรัง รุนแรง หรือปวดร้าวลงขา
  • ชา อ่อนแรง หรือรู้สึกเหมือนเข็มทิ่มที่หลัง ขา หรือเท้า
  • เดินลำบาก ทรงตัวไม่อยู่
  • กลั้นปัสสาวะหรืออุจจาระไม่ได้
  • สูญเสียความรู้สึกที่ผิวหนัง

การวินิจฉัยและการรักษา

การวินิจฉัยโรคไขสันหลัง เริ่มจากการซักประวัติ ตรวจร่างกาย และอาจต้องมีการตรวจเพิ่มเติม เช่น การถ่ายภาพรังสี (X-ray, MRI, CT scan) การตรวจคลื่นไฟฟ้ากล้ามเนื้อ (EMG) และการเจาะน้ำไขสันหลัง

การรักษาขึ้นอยู่กับชนิดและความรุนแรงของโรค อาจประกอบด้วย:

  • การใช้ยาแก้ปวด ลดการอักเสบ หรือคลายกล้ามเนื้อ
  • กายภาพบำบัด เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและเพิ่มความยืดหยุ่น
  • การผ่าตัด เพื่อลดการกดทับเส้นประสาท หรือแก้ไขความผิดปกติของไขสันหลัง
  • การรักษาอื่นๆ เช่น การฉีดยาสเตียรอยด์ การฝังเข็ม

สรุป

โรคไขสันหลังมีหลายประเภท แต่ละประเภทมีสาเหตุ อาการ และการรักษาที่แตกต่างกัน การดูแลสุขภาพหลังให้แข็งแรง การหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ และการสังเกตอาการผิดปกติอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้คุณป้องกันและรับมือกับโรคไขสันหลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากคุณมีอาการที่น่าสงสัย ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม เพื่อให้คุณมีคุณภาพชีวิตที่ดีและสามารถใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่