โรคอะไรห้ามกินธาตุเหล็ก

8 การดู

ผู้ป่วยโรคธาลัสซีเมียบางชนิดและโรคฮีโมโครมาโตซิส (Hemochromatosis) ซึ่งร่างกายมีธาตุเหล็กสะสมมากเกินควร ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารเสริมธาตุเหล็กหรืออาหารที่มีธาตุเหล็กสูง เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทานอาหารเสริมใดๆเสมอ

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

ธาตุเหล็ก แร่ธาตุสำคัญที่ร่างกายต้องการเพื่อสร้างเม็ดเลือดแดง แต่สำหรับบางคน การได้รับธาตุเหล็กมากเกินไปกลับเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ บทความนี้จะพาไปรู้จักกับโรคที่ต้องระวังเรื่องการบริโภคธาตุเหล็กเป็นพิเศษ

โรคที่ห้ามกินธาตุเหล็ก หรือพูดง่ายๆ คือ โรคที่ร่างกายมีธาตุเหล็กสะสมอยู่มากเกินพอแล้ว และการได้รับธาตุเหล็กเพิ่มอาจทำให้เกิดอันตราย โรคที่สำคัญที่สุดที่ต้องกล่าวถึงคือ ธาลัสซีเมีย และ ฮีโมโครมาโตซิส (Hemochromatosis)

ธาลัสซีเมีย เป็นโรคทางพันธุกรรมที่ส่งผลต่อการสร้างฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง ผู้ป่วยธาลัสซีเมียบางประเภท เช่น ธาลัสซีเมียชนิดเบต้า จำเป็นต้องได้รับการถ่ายเลือดเป็นประจำ ซึ่งการถ่ายเลือดนี้เองที่ทำให้ธาตุเหล็กสะสมในร่างกายมากเกินไป หากได้รับธาตุเหล็กเพิ่มจากอาหารเสริมหรืออาหารที่มีธาตุเหล็กสูง จะยิ่งทำให้เกิดภาวะเหล็กเกิน นำไปสู่ความเสียหายของอวัยวะสำคัญต่างๆ เช่น หัวใจ ตับ และต่อมไร้ท่อ

ฮีโมโครมาโตซิส เป็นภาวะทางพันธุกรรมอีกชนิดหนึ่งที่ทำให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กจากอาหารมากเกินความจำเป็น ธาตุเหล็กส่วนเกินนี้จะสะสมในอวัยวะต่างๆ เช่นเดียวกับธาลัสซีเมีย การสะสมธาตุเหล็กมากเกินไปในฮีโมโครมาโตซิสสามารถทำลายอวัยวะ และนำไปสู่โรคแทรกซ้อนร้ายแรง เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ และโรคตับแข็ง

นอกเหนือจากสองโรคหลักนี้ ยังมีภาวะอื่นๆ ที่อาจทำให้ธาตุเหล็กสะสมในร่างกาย เช่น โรคตับบางชนิด และการได้รับธาตุเหล็กจากการถ่ายเลือดซ้ำๆ ในโรคอื่นๆ ดังนั้น การวินิจฉัยและคำแนะนำจากแพทย์จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง

สิ่งสำคัญที่ต้องจำไว้คือ หากคุณมีภาวะใดๆ ที่กล่าวมาข้างต้น หรือสงสัยว่าตนเองอาจมีความเสี่ยง ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทานอาหารเสริมธาตุเหล็ก หรือแม้กระทั่งก่อนปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง การตรวจเลือดเพื่อวัดระดับธาตุเหล็กในร่างกายเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้แพทย์สามารถประเมินและวางแผนการรักษาที่เหมาะสม อย่าลืมว่า แม้ธาตุเหล็กจะเป็นแร่ธาตุสำคัญ แต่การได้รับมากเกินไปก็อาจเป็นอันตรายได้เช่นกัน การดูแลสุขภาพอย่างรอบคอบและปรึกษาแพทย์เสมอจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด