โรค G6PD อาการเป็นอย่างไร

4 การดู

ผู้ป่วยโรค G6PD อาจมีอาการซีด เหลือง อ่อนเพลีย และปวดท้องอย่างรุนแรง เมื่อร่างกายได้รับสารกระตุ้น เช่น ยาบางชนิด หรือการติดเชื้อ อาการเหล่านี้อาจปรากฏขึ้นอย่างฉับพลันและรุนแรง โดยเฉพาะในเด็กเล็ก จำเป็นต้องได้รับการดูแลรักษาอย่างทันท่วงทีจากแพทย์เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

เมื่อร่างกายขาด “เกราะป้องกัน”: ทำความรู้จักโรค G6PD และอาการที่อาจไม่คาดคิด

โรค G6PD หรือ โรคเอนไซม์กลูโคส-6-ฟอสเฟตดีไฮโดรจีเนสพร่อง เป็นโรคทางพันธุกรรมที่พบได้บ่อย โดยเฉพาะในกลุ่มชาติพันธุ์ในเขตร้อนและกึ่งร้อน โรคนี้เกิดจากความผิดปกติของยีนที่ควบคุมการสร้างเอนไซม์ G6PD ซึ่งมีหน้าที่สำคัญในการปกป้องเม็ดเลือดแดงจากการถูกทำลาย เมื่อร่างกายขาดเอนไซม์ชนิดนี้ เม็ดเลือดแดงจะเปราะบางและเสี่ยงต่อการแตกง่าย ส่งผลให้เกิดภาวะโลหิตจางแบบทำลายตัวเอง (hemolytic anemia) ซึ่งอาจแสดงอาการรุนแรงได้

ความร้ายกาจของโรค G6PD อยู่ที่อาการที่อาจเกิดขึ้นอย่างฉับพลันและรุนแรง โดยเฉพาะเมื่อร่างกายได้รับ “สารกระตุ้น” ซึ่งอาจเป็นได้ทั้ง:

  • ยาบางชนิด: นี่คือสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผู้ป่วย G6PD มีอาการกำเริบ ยาหลายชนิด ทั้งยาแผนปัจจุบันและยาสมุนไพร สามารถกระตุ้นให้เกิดการทำลายเม็ดเลือดแดง ตัวอย่างเช่น ยาแอสไพริน ยาซัลฟา ยาปฏิชีวนะบางชนิด และแม้แต่ยาแก้ไข้หวัดบางชนิด จึงควรแจ้งแพทย์ให้ทราบเสมอว่าท่านเป็นโรค G6PD ก่อนรับประทานยาใดๆ

  • การติดเชื้อ: การติดเชื้อต่างๆ เช่น ไข้หวัดใหญ่ ไข้มาลาเรีย หรือการติดเชื้อทางเดินหายใจ สามารถกระตุ้นให้เกิดภาวะโลหิตจาง เนื่องจากร่างกายต้องทำงานหนักขึ้นในการต่อสู้กับเชื้อโรค ซึ่งอาจส่งผลให้เม็ดเลือดแดงถูกทำลายมากขึ้น

  • การรับประทานถั่วหรืออาหารบางชนิดที่มีสารออกฤทธิ์คล้ายยา: ในบางราย การบริโภคถั่วบางชนิด หรืออาหารที่มีสารประกอบบางชนิด อาจเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดอาการได้เช่นกัน ควรระมัดระวังและศึกษาข้อมูลให้ดี

เมื่อร่างกายได้รับสารกระตุ้นเหล่านี้ ผู้ป่วย G6PD อาจมีอาการดังนี้:

  • ซีด: เป็นอาการที่พบได้บ่อยที่สุด เนื่องจากจำนวนเม็ดเลือดแดงลดลง

  • เหลือง: เกิดจากการสะสมของบิลิรูบิน ซึ่งเป็นผลพลอยได้จากการสลายเม็ดเลือดแดง อาจสังเกตเห็นได้ชัดเจนที่ตาขาวและผิวหนัง

  • อ่อนเพลีย: เนื่องจากร่างกายขาดออกซิเจน ซึ่งเป็นผลมาจากการลดลงของเม็ดเลือดแดง

  • ปวดท้อง: อาจเกิดจากการทำลายเม็ดเลือดแดงในม้ามและตับ อาการอาจรุนแรงถึงขั้นปวดท้องอย่างรุนแรง

  • ปัสสาวะสีเข้ม: เนื่องจากมีบิลิรูบินปนอยู่ในปัสสาวะ

  • ในเด็กเล็ก: อาจมีอาการตัวเหลืองมาก ซึมลง เบื่ออาหาร และอาจมีอาการดีซ่านร่วมด้วย ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน

อาการเหล่านี้บางครั้งอาจเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรง โดยเฉพาะในเด็กเล็ก หากสงสัยว่าตนเองหรือบุตรหลานมีอาการดังกล่าว ควรไปพบแพทย์โดยทันที เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาอย่างเหมาะสม การตรวจเลือดเพื่อวัดระดับเอนไซม์ G6PD จะช่วยยืนยันการวินิจฉัย และแพทย์จะให้คำแนะนำเกี่ยวกับการหลีกเลี่ยงสารกระตุ้น รวมทั้งการดูแลรักษาเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ การรู้จักและเข้าใจโรค G6PD จึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อการดูแลสุขภาพที่ดีและการใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพ

หมายเหตุ: บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้ความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับโรค G6PD ไม่ใช่คำแนะนำทางการแพทย์ หากมีข้อสงสัยหรือพบอาการผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาที่ถูกต้อง