ไตอักเสบ ปวดตรงไหน

5 การดู

อาการไตอักเสบอาจแสดงเป็นปวดหลังส่วนล่างบริเวณใกล้ไต ร่วมกับมีไข้หนาวสั่น ปัสสาวะขุ่นข้นหรือมีเลือดปน อาจมีอาการบวมที่ใบหน้าและเท้า หากมีอาการเหล่านี้ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงที

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

ไตอักเสบ: สัญญาณเตือนที่หลัง…อย่านิ่งนอนใจ!

เราคงคุ้นเคยกับคำว่า “ปวดหลัง” กันดี เพราะเป็นอาการยอดฮิตที่พบได้บ่อย แต่รู้หรือไม่ว่าอาการปวดหลังบางอย่าง อาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคร้ายอย่าง “ไตอักเสบ” ได้!

ไตอักเสบ (Pyelonephritis) คือ ภาวะติดเชื้อแบคทีเรียที่ลุกลามเข้าสู่ไต มักเกิดจากการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะส่วนล่าง เช่น กระเพาะปัสสาวะ ท่อปัสสาวะ ที่ไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง ส่งผลให้เกิดการอักเสบ และสร้างความเสียหายต่อเนื้อไตได้

แล้วปวดตรงไหนล่ะ ถึงจะใช่ไตอักเสบ?

ต่างจากอาการปวดหลังทั่วไปที่มักเกิดจากกล้ามเนื้อ อาการปวดจากไตอักเสบมักมีลักษณะเฉพาะ ดังนี้

  • ปวดบริเวณข้างหลังส่วนล่าง หรือสีข้างด้านใดด้านหนึ่ง: ตรงกับตำแหน่งของไต ซึ่งอยู่บริเวณชายโครงด้านหลัง โดยปวดข้างเดียวหรือสองข้างก็ได้
  • ปวดลึก และรุนแรง: ไม่ใช่แค่ปวดเมื่อยธรรมดา แต่เป็นอาการปวดลึกๆ ที่รบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน
  • ไม่ทุเลา แม้เปลี่ยนท่าทาง: ไม่ว่าจะนั่ง นอน ยืน หรือขยับตัวอย่างไร ก็ไม่ช่วยให้อาการปวดดีขึ้น

สัญญาณเตือนอื่นๆ ที่ควรรีบพบแพทย์โดยด่วน

นอกจากอาการปวดหลังแล้ว ไตอักเสบยังมาพร้อมสัญญาณเตือนอื่นๆ อีกมากมาย เช่น

  • ไข้สูง หนาวสั่น: ร่างกายกำลังต่อสู้กับการติดเชื้ออย่างหนัก
  • ปัสสาวะผิดปกติ: ปัสสาวะบ่อย ครั้งละน้อยๆ ปัสสาวะขุ่น ข้น หรือมีเลือดปน มีกลิ่นแรงผิดปกติ
  • คลื่นไส้ อาเจียน: รู้สึกไม่สบายท้อง เบื่ออาหาร
  • ปวดแสบขณะปัสสาวะ: เป็นสัญญาณของการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ
  • บวมที่ใบหน้าและเท้า: เกิดจากการคั่งของของเหลวในร่างกาย

อย่านิ่งนอนใจ! รีบพบแพทย์ หากพบสัญญาณอันตราย

ไตอักเสบ เป็นโรคที่ต้องได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้องโดยแพทย์ หากปล่อยทิ้งไว้ อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง เช่น ไตวายเรื้อรัง หรือติดเชื้อในกระแสเลือดได้

ดังนั้น หากคุณมีอาการปวดหลังส่วนล่าง ร่วมกับสัญญาณเตือนอื่นๆ ดังที่กล่าวไปข้างต้น ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงที เพื่อสุขภาพที่ดี และชีวิตที่สดใส ไร้โรคภัย

หมายเหตุ: บทความนี้ให้ข้อมูลเบื้องต้นเพื่อความรู้ทั่วไปเท่านั้น ไม่สามารถทดแทนการวินิจฉัยและคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ หากมีข้อสงสัยหรือกังวลเกี่ยวกับสุขภาพ ควรปรึกษาแพทย์โดยตรง