Dengue fever กับ Dengue Hemorrhagic Fever ต่างกันอย่างไร

1 การดู

ไข้เดงกีอาจรุนแรงถึงขั้นไข้เลือดออกได้ หากมีภาวะเกล็ดเลือดต่ำ ร่วมกับมีเลือดออก เช่น เลือดกำเดาไหล จุดเลือดออกตามผิวหนัง หรืออาเจียนเป็นเลือด พร้อมอาการอื่นๆ เช่น ปวดท้อง ตับโต และความดันโลหิตต่ำ ควรรีบพบแพทย์ทันทีเพื่อรับการรักษาอย่างเหมาะสม

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

ไข้เดงกีกับไข้เลือดออก: เส้นบางๆ ระหว่างความป่วยไข้และภาวะวิกฤต

หลายคนมักเข้าใจว่าไข้เดงกีและไข้เลือดออกเป็นโรคเดียวกัน แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไข้เลือดออกคือภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงของไข้เดงกี เปรียบเสมือนภูเขาน้ำแข็ง ส่วนที่เรามองเห็นเหนือน้ำคือไข้เดงกี แต่ส่วนที่อันตรายซ่อนอยู่ใต้น้ำคือไข้เลือดออก ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะช็อกและเสียชีวิตได้

ไข้เดงกีโดยทั่วไปจะมีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ เช่น มีไข้สูง ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว ปวดกระดูก บางรายอาจมีผื่นแดงขึ้นตามตัว อาการเหล่านี้มักจะหายไปเองภายใน 7-10 วัน ด้วยการดูแลรักษาตามอาการ เช่น เช็ดตัวลดไข้ ดื่มน้ำมากๆ และพักผ่อนให้เพียงพอ

อย่างไรก็ตาม ไข้เดงกีสามารถพัฒนาไปสู่ภาวะที่รุนแรงขึ้น คือ ไข้เลือดออก โดยสัญญาณเตือนที่สำคัญคือช่วงที่ไข้เริ่มลดลง (ประมาณวันที่ 3-7 ของการป่วย) หากผู้ป่วยมีอาการเลือดออกผิดปกติ เช่น เลือดกำเดาไหล มีจุดเลือดออกตามผิวหนัง อุจจาระเป็นสีดำ อาเจียนเป็นเลือด หรือมีภาวะเกล็ดเลือดต่ำร่วมกับอาการอื่นๆ เช่น ปวดท้องอย่างรุนแรง ตับโต มือเท้าเย็น ความดันโลหิตต่ำ ชีพจรเบาเร็ว แสดงว่าผู้ป่วยอาจกำลังเข้าสู่ภาวะไข้เลือดออก ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วนในโรงพยาบาล เพื่อป้องกันภาวะช็อกและการเสียชีวิต

ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงที่สุดของไข้เลือดออกคือภาวะช็อกจากไข้เลือดออก ซึ่งเกิดจากการรั่วซึมของพลาสมาออกนอกเส้นเลือด ทำให้ความดันโลหิตต่ำลงอย่างรวดเร็ว หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาจทำให้เสียชีวิตได้

ดังนั้น การสังเกตอาการและเข้ารับการรักษาอย่างทันท่วงทีจึงเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะในช่วงที่ไข้เริ่มลดลง หากพบอาการผิดปกติ ควรรีบไปพบแพทย์ทันที อย่านิ่งนอนใจคิดว่าเป็นแค่ไข้หวัดธรรมดา เพราะอาจเป็นเส้นบางๆ ที่กั้นระหว่างความป่วยไข้กับภาวะวิกฤตได้