ทำไมเสลดหวาน

1 การดู

เสมหะเหนียวข้นปนเลือดในลำคออาจกระตุ้นต่อมรับรสขมบริเวณโคนลิ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ความไวต่อรสขมลดลง ส่งผลให้รับรู้รสชาติอื่นๆเปลี่ยนไป เช่น รู้สึกว่ารสชาติอาหารหวานขึ้นแม้ไม่ได้รับประทานของหวาน หรือรสชาติในปากโดยทั่วไปออกหวาน ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ทางประสาทสัมผัสที่เกี่ยวข้องกับการรับรสผิดปกติ

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

เสลดหวาน: ความลับของรสชาติผิดเพี้ยนที่ซ่อนอยู่ในลำคอ

หลายคนอาจเคยพบกับประสบการณ์แปลกประหลาดที่รสชาติในปากเปลี่ยนไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งรู้สึกว่าทุกอย่างหวานขึ้น ทั้งๆ ที่ไม่ได้รับประทานสิ่งหวานๆ เลย ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า “เสลดหวาน” (ไม่ได้เป็นชื่อทางการแพทย์) และแม้จะดูเหมือนเรื่องแปลกประหลาด แต่ก็มีคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ที่น่าสนใจอยู่เบื้องหลัง

สาเหตุสำคัญของเสลดหวานไม่ได้มาจากน้ำตาลหรือสารให้ความหวานที่เพิ่มขึ้นในร่างกาย แต่เกี่ยวข้องกับความผิดปกติของการรับรู้รสชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเสมหะที่เหนียวข้นและอาจปนเปื้อนเลือดในลำคอ เสมหะชนิดนี้จะไปกระตุ้นต่อมรับรสขมบริเวณโคนลิ้นอย่างต่อเนื่อง และการกระตุ้นที่ยาวนานนี้กลับส่งผลให้ความไวต่อรสขมลดลงอย่างไม่คาดคิด

ลองนึกภาพการสัมผัสรสขมอย่างต่อเนื่อง เช่น การดื่มกาแฟขมเข้มๆ เป็นเวลานาน ในที่สุดลิ้นก็จะเริ่มชาและไม่รู้สึกขมอีกต่อไป ปรากฏการณ์ในกรณีของเสลดหวานก็คล้ายคลึงกัน การถูกกระตุ้นอย่างต่อเนื่องจากเสมหะเหนียวข้นที่อาจมีรสขมหรือรสชาติที่ไม่พึงประสงค์ ทำให้ต่อมรับรสขมเกิดการปรับตัว ลดความไวลง และส่งผลให้การรับรู้รสชาติอื่นๆ เปลี่ยนแปลงไป

เมื่อความไวต่อรสขมลดลง สมองจะตีความสัญญาณจากต่อมรับรสอื่นๆ เช่น ต่อมรับรสหวาน ได้แตกต่างออกไป ทำให้รสชาติอื่นๆ โดยเฉพาะรสหวาน ดูเด่นชัดขึ้น หรือแม้แต่รสชาติที่ปกติไม่หวาน ก็อาจถูกตีความว่ามีความหวานปนอยู่ ส่งผลให้ผู้ที่ประสบกับเสลดหวานรู้สึกว่าทุกอย่างในปากมีรสหวาน แม้แต่เพียงน้ำเปล่าก็ตาม

ดังนั้น เสลดหวานจึงไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำตาลในเลือด หรือการรับประทานอาหารหวานมากเกินไป แต่เป็นความผิดปกติของการรับรู้รสชาติที่เกิดจากการกระตุ้นต่อมรับรสขมอย่างต่อเนื่อง โดยสาเหตุหลักมาจากเสมหะในลำคอ การรักษาจึงควรเน้นไปที่การจัดการกับปัญหาเสมหะ เช่น การดื่มน้ำมากๆ การพักผ่อนให้เพียงพอ และการรักษาโรคทางเดินหายใจที่อาจเป็นสาเหตุของเสมหะ หากอาการไม่ดีขึ้น ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้อง เพื่อให้สามารถรับรู้รสชาติต่างๆ ได้อย่างปกติสุขอีกครั้ง

บทความนี้มุ่งเน้นให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเสลดหวาน และไม่ใช่คำแนะนำทางการแพทย์ กรุณาปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญสำหรับการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม