อาหารเป็นพิษแบบไหนต้องแอดมิท

1 การดู

หากมีอาการอาหารเป็นพิษรุนแรง ควรรีบพบแพทย์ทันที! สังเกตอาการถ่ายเหลวเป็นน้ำหรือมีมูกเลือด, อาเจียนไม่หยุดจนร่างกายอ่อนเพลีย หรือมีอาการทางระบบประสาท เช่น หนังตาตก กล้ามเนื้ออ่อนแรง หายใจลำบาก อาการเหล่านี้บ่งชี้ถึงภาวะแทรกซ้อนที่อาจเป็นอันตราย

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

อาหารเป็นพิษ: เมื่อไหร่ที่ต้อง “แอดมิท” ไม่ใช่แค่กินยา

อาหารเป็นพิษเป็นประสบการณ์ที่ไม่มีใครอยากเจอ เพราะมันมาพร้อมกับอาการไม่สบายตัวที่รบกวนชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ปวดท้อง หรือแม้แต่มีไข้ แต่คำถามที่หลายคนสงสัยก็คือ แล้วอาการแบบไหนกันที่ต้องรีบไปโรงพยาบาลเพื่อ “แอดมิท” หรือเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ไม่ใช่แค่กินยาแก้ท้องเสียแล้วนอนพักผ่อนเฉยๆ

สัญญาณอันตรายที่ต้องใส่ใจ: อาหารเป็นพิษที่มากกว่าแค่ “ท้องเสีย”

อาการอาหารเป็นพิษส่วนใหญ่สามารถรักษาได้เองที่บ้านด้วยการพักผ่อน ดื่มน้ำเยอะๆ และทานยาแก้ท้องเสียตามอาการ แต่บางครั้งอาการก็รุนแรงเกินกว่าจะรับมือเองได้ สัญญาณเตือนภัยที่คุณต้องระวังมีดังนี้:

  • ภาวะขาดน้ำอย่างรุนแรง: อาการท้องเสียและอาเจียนอย่างต่อเนื่องทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำและเกลือแร่ไปเป็นจำนวนมาก สังเกตได้จากอาการปากแห้ง คอแห้ง ปัสสาวะน้อย หรือไม่ปัสสาวะเลย ผิวหนังแห้งเหี่ยว เวียนหัว หน้ามืด โดยเฉพาะในเด็กเล็กและผู้สูงอายุ ภาวะขาดน้ำอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

  • ถ่ายเหลวเป็นน้ำหรือมีมูกเลือด: หากอุจจาระมีลักษณะเป็นน้ำใสๆ จำนวนมาก หรือมีมูกเลือดปนออกมา นี่อาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อรุนแรงที่ต้องได้รับการวินิจฉัยและรักษาด้วยยาปฏิชีวนะจากแพทย์

  • อาเจียนไม่หยุด: การอาเจียนอย่างต่อเนื่องทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย และไม่สามารถทานอาหารหรือดื่มน้ำเพื่อทดแทนสิ่งที่สูญเสียไปได้ ทำให้เกิดภาวะขาดน้ำและเกลือแร่ได้เช่นกัน

  • อาการทางระบบประสาท: อาการผิดปกติทางระบบประสาท เช่น มองเห็นภาพซ้อน หนังตาตก กล้ามเนื้ออ่อนแรง ชาตามแขนขา หรือหายใจลำบาก อาจบ่งบอกถึงการปนเปื้อนของสารพิษร้ายแรง เช่น โบทูลินัม (Botulinum) ที่พบในอาหารกระป๋อง หรือเห็ดพิษ ซึ่งต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน

  • อาการปวดท้องรุนแรง: หากปวดท้องอย่างรุนแรงและต่อเนื่อง ไม่ดีขึ้นหลังทานยาแก้ปวด หรือมีอาการกดเจ็บที่หน้าท้อง อาจเป็นสัญญาณของภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรง เช่น ลำไส้อักเสบ หรือไส้ติ่งอักเสบ

  • กลุ่มเสี่ยง: ผู้ที่มีความเสี่ยงสูงต่อภาวะแทรกซ้อนจากอาหารเป็นพิษ ได้แก่ เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หญิงตั้งครรภ์ ผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ (เช่น ผู้ป่วย HIV หรือผู้ที่ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะ) และผู้ที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง หากคนกลุ่มนี้มีอาการอาหารเป็นพิษ ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว

ทำไมต้อง “แอดมิท”?

การเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล หรือ “แอดมิท” เมื่อมีอาการอาหารเป็นพิษรุนแรง ทำให้แพทย์สามารถ:

  • ให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ: เพื่อแก้ไขภาวะขาดน้ำและเกลือแร่ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
  • ให้ยาปฏิชีวนะ: หากตรวจพบว่ามีการติดเชื้อแบคทีเรีย
  • ติดตามอาการอย่างใกล้ชิด: เพื่อป้องกันและจัดการกับภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น
  • วินิจฉัยหาสาเหตุ: เพื่อหาสาเหตุของอาหารเป็นพิษ และป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอีกในอนาคต

ป้องกันไว้ดีกว่าแก้:

ถึงแม้ว่าอาหารเป็นพิษอาจเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เสมอไป แต่เราสามารถลดความเสี่ยงได้ด้วยการ:

  • ล้างมือให้สะอาด: ก่อนและหลังเตรียมอาหาร รวมถึงก่อนรับประทานอาหาร
  • ปรุงอาหารให้สุก: โดยเฉพาะเนื้อสัตว์และไข่
  • เก็บอาหารอย่างถูกวิธี: แยกอาหารดิบและอาหารสุกออกจากกัน และเก็บอาหารที่เหลือในตู้เย็นอย่างรวดเร็ว
  • เลือกซื้ออาหารจากแหล่งที่เชื่อถือได้: ตรวจสอบวันหมดอายุก่อนซื้อเสมอ

สุดท้ายนี้ หากคุณไม่แน่ใจว่าอาการของคุณรุนแรงแค่ไหน หรือควรรีบไปพบแพทย์หรือไม่ สิ่งที่ดีที่สุดคือการปรึกษาแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ เพื่อให้ได้รับการวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้องและเหมาะสม

Disclaimer: บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาในการวินิจฉัยหรือรักษาโรค หากคุณมีข้อสงสัยหรือกังวลเกี่ยวกับสุขภาพ ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ