เก็บอาหารค้างคืนยังไง

2 การดู

เก็บอาหารค้างคืนอย่างปลอดภัย

เก็บอาหารที่ปรุงสุกแล้วที่อุณหภูมิมากกว่า 74°C เพื่อกำจัดแบคทีเรีย แบ่งอาหารออกเป็นภาชนะขนาดเล็กเพื่อให้ความเย็นกระจายทั่วถึง ปิดภาชนะให้สนิทแล้วใส่ในตู้เย็นทันที

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

เก็บอาหารค้างคืนอย่างไรให้ปลอดภัยไร้กังวล: เคล็ดลับง่ายๆ ที่คุณอาจไม่เคยรู้

อาหารเหลือจากการทำอาหารมื้อใหญ่ หรืออาหารที่ทานไม่หมดในร้านอาหาร เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน การทิ้งอาหารที่ยังทานได้ก็เสียดาย แต่จะเก็บไว้ทานต่อก็กลัวจะเสีย กลัวท้องเสีย แล้วเราควรจะทำอย่างไรดี? บทความนี้จะนำเสนอเคล็ดลับการเก็บอาหารค้างคืนที่มากกว่าแค่การแช่ตู้เย็น เพื่อให้คุณมั่นใจได้ว่าอาหารที่เก็บไว้จะยังคงอร่อยและปลอดภัยต่อสุขภาพ

ความเข้าใจผิดที่พบบ่อยเกี่ยวกับการเก็บอาหารค้างคืน:

หลายคนเข้าใจผิดว่า การนำอาหารที่ทานเหลือไปแช่ตู้เย็นทันทีก็เพียงพอแล้ว แต่จริงๆ แล้วยังมีรายละเอียดที่สำคัญกว่านั้น:

  • อุณหภูมิห้องคือศัตรูตัวร้าย: แบคทีเรียสามารถเจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็วใน “Danger Zone” หรือช่วงอุณหภูมิระหว่าง 4°C ถึง 60°C ดังนั้น การปล่อยให้อาหารที่ปรุงสุกแล้ววางทิ้งไว้ในอุณหภูมิห้องนานเกิน 2 ชั่วโมง (หรือ 1 ชั่วโมงในวันที่อากาศร้อนจัด) อาจทำให้เกิดการสะสมของแบคทีเรียในระดับที่เป็นอันตรายได้
  • ขนาดของภาชนะก็สำคัญ: การนำอาหารปริมาณมากใส่ในภาชนะขนาดใหญ่ จะทำให้ความเย็นจากตู้เย็นแทรกซึมเข้าไปได้ช้า ทำให้ใจกลางของอาหารยังคงอยู่ในช่วงอุณหภูมิที่แบคทีเรียสามารถเจริญเติบโตได้

เคล็ดลับการเก็บอาหารค้างคืนอย่างปลอดภัยที่เหนือกว่า:

  1. รีบทำให้เย็น: หลังจากอาหารเย็นตัวลงเล็กน้อย (แต่ไม่นานเกิน 2 ชั่วโมง) ให้รีบนำเข้าตู้เย็นทันที อย่ารอจนอาหารเย็นสนิท เพราะจะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงในการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย
  2. แบ่งอาหารใส่ภาชนะขนาดเล็ก: แบ่งอาหารออกเป็นส่วนๆ ในภาชนะขนาดเล็กและตื้น เพื่อให้ความเย็นสามารถแทรกซึมได้อย่างรวดเร็วและทั่วถึง
  3. ภาชนะต้องสะอาดและปิดสนิท: เลือกใช้ภาชนะที่สะอาดและมีฝาปิดที่สนิท เพื่อป้องกันการปนเปื้อนจากอาหารอื่นๆ ในตู้เย็น และป้องกันไม่ให้อาหารแห้ง
  4. ทำความเย็นแบบเร่งด่วน: หากต้องการเร่งกระบวนการทำให้เย็น สามารถนำภาชนะใส่อาหารไปแช่ในน้ำเย็น หรือน้ำแข็งได้
  5. อย่าลืมติดป้าย: เขียนวันที่ที่นำอาหารเข้าตู้เย็นบนภาชนะ เพื่อให้รู้ว่าอาหารนี้ถูกเก็บไว้นานแค่ไหน และควรบริโภคภายในกี่วัน
  6. ตู้เย็นต้องเย็นพอ: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าอุณหภูมิภายในตู้เย็นอยู่ที่ 4°C หรือต่ำกว่า
  7. หลักการ “First In, First Out (FIFO)”: บริโภคอาหารที่เก็บไว้ก่อนเสมอ เพื่อลดโอกาสที่อาหารจะเสีย

อาหารประเภทไหนที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ:

อาหารบางประเภทมีความเสี่ยงต่อการเน่าเสียมากกว่าอาหารประเภทอื่น เช่น:

  • เนื้อสัตว์และสัตว์ปีก: ต้องปรุงให้สุกอย่างทั่วถึง และเก็บรักษาอย่างระมัดระวังเป็นพิเศษ
  • อาหารทะเล: มีความเสี่ยงต่อการเน่าเสียสูง และอาจมีสารพิษสะสมได้
  • ไข่และผลิตภัณฑ์จากไข่: ต้องปรุงให้สุกอย่างทั่วถึง และเก็บรักษาอย่างระมัดระวัง
  • อาหารที่มีส่วนผสมของนมและครีม: มีความเสี่ยงต่อการเน่าเสียสูง
  • ข้าวสวย: เนื่องจากสปอร์ของ Bacillus cereus สามารถอยู่รอดได้ในข้าวที่ปรุงสุกแล้ว ดังนั้นควรเก็บข้าวสวยที่เหลืออย่างรวดเร็วและอุ่นให้ร้อนจัดก่อนรับประทาน

เมื่อไหร่ที่ควรทิ้งอาหาร:

แม้ว่าจะเก็บอาหารอย่างระมัดระวังแล้ว แต่ก็ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่อาจทำให้อาหารเสียได้ หากพบว่าอาหารมีลักษณะดังต่อไปนี้ ควรทิ้งทันที:

  • มีกลิ่นเหม็นบูด หรือกลิ่นผิดปกติ:
  • มีสีที่เปลี่ยนแปลงไป หรือมีราขึ้น:
  • มีรสชาติที่เปลี่ยนไป:
  • มีลักษณะที่ผิดปกติ เช่น เหนียว หรือมีเมือก:

สรุป:

การเก็บอาหารค้างคืนอย่างปลอดภัย ไม่ใช่แค่การแช่ตู้เย็น แต่เป็นการใส่ใจในรายละเอียดต่างๆ เพื่อป้องกันการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย การทำตามเคล็ดลับที่กล่าวมาข้างต้น จะช่วยให้คุณสามารถเก็บอาหารที่เหลือได้อย่างปลอดภัย และมั่นใจได้ว่าอาหารที่คุณรับประทานจะไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของคุณ