ขาช้ำเป็นจ้ำๆเกิดจากอะไร

0 การดู

รอยช้ำเป็นจ้ำๆ อาจเกิดจากภาวะเลือดออกง่าย ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับโรคบางชนิด เช่น โรคโลหิตจาง หรือการใช้ยาบางประเภท หรืออาจเกิดจากการบาดเจ็บเล็กน้อยที่มองไม่เห็น แต่ทำให้หลอดเลือดฝอยแตก ส่งผลให้มีเลือดคั่งใต้ผิวหนังเป็นจุดๆ ควรสังเกตอาการ หากรอยช้ำเกิดขึ้นบ่อยหรือมีขนาดใหญ่ผิดปกติควรไปพบแพทย์

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

ขาช้ำเป็นจ้ำๆ: เรื่องเล็กที่มองข้ามไม่ได้ สัญญาณเตือนที่ควรใส่ใจ

รอยช้ำตามร่างกาย โดยเฉพาะที่ขา มักเป็นสิ่งที่หลายคนมองข้าม คิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยที่เกิดจากการกระแทกโดยไม่รู้ตัว แต่การมีรอยช้ำเป็นจ้ำๆ ขึ้นมาเองโดยไม่มีสาเหตุที่ชัดเจน หรือเกิดขึ้นบ่อยผิดปกติ อาจเป็นสัญญาณเตือนที่ร่างกายกำลังบอกอะไรบางอย่างที่เราควรใส่ใจ

รอยช้ำที่เราเห็นนั้น เกิดจากการที่หลอดเลือดฝอยใต้ผิวหนังแตกออก ทำให้เลือดไหลออกมาคั่งอยู่ใต้ผิวหนัง เมื่อเวลาผ่านไป เลือดที่คั่งอยู่จะเปลี่ยนสีจากแดงม่วงเป็นเขียวคล้ำ เหลือง และสุดท้ายก็จะจางหายไปเอง แต่ถ้าหากรอยช้ำเกิดขึ้นง่ายและบ่อยกว่าปกติ หรือมีขนาดใหญ่ผิดปกติ อาจบ่งชี้ถึงปัญหาบางอย่างที่ซ่อนอยู่

สาเหตุที่เป็นไปได้ของการเกิดรอยช้ำเป็นจ้ำๆ ที่ขา:

  • การบาดเจ็บเล็กน้อย: นี่คือสาเหตุที่พบบ่อยที่สุด หลายครั้งที่เราอาจกระแทกขาเข้ากับโต๊ะ เก้าอี้ หรือขอบเตียง โดยที่เราไม่ทันสังเกต หรือจำไม่ได้ การกระแทกเพียงเล็กน้อยก็สามารถทำให้หลอดเลือดฝอยแตกและเกิดรอยช้ำได้

  • ภาวะเลือดออกง่าย (Bleeding Disorders): บางคนอาจมีภาวะเลือดออกง่ายโดยไม่รู้ตัว ซึ่งอาจเกิดจาก:

    • โรคทางพันธุกรรม: เช่น โรคฮีโมฟีเลีย (Hemophilia) หรือโรค Von Willebrand’s disease ซึ่งส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือด
    • ภาวะเกล็ดเลือดต่ำ (Thrombocytopenia): เกล็ดเลือดมีหน้าที่ช่วยในการแข็งตัวของเลือด เมื่อเกล็ดเลือดต่ำ เลือดจึงหยุดยากและเกิดรอยช้ำได้ง่าย
    • โรคตับ: ตับมีหน้าที่ในการสร้างโปรตีนที่จำเป็นต่อการแข็งตัวของเลือด หากตับทำงานผิดปกติ อาจส่งผลให้เลือดแข็งตัวได้ไม่ดี
    • ภาวะขาดวิตามิน: โดยเฉพาะวิตามินซีและวิตามินเค ซึ่งมีความสำคัญต่อการสร้างคอลลาเจนและโปรตีนที่เกี่ยวข้องกับการแข็งตัวของเลือด
  • ยาบางชนิด: ยาบางชนิดสามารถส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือดและทำให้เกิดรอยช้ำได้ง่าย เช่น:

    • ยาแอสไพริน (Aspirin) และยาต้านการแข็งตัวของเลือด (Anticoagulants): ยาเหล่านี้มีฤทธิ์ในการลดการแข็งตัวของเลือด เพื่อป้องกันการเกิดลิ่มเลือด
    • ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroids): ยาเหล่านี้สามารถทำให้ผิวหนังบางลง ทำให้หลอดเลือดฝอยเปราะบางและแตกง่าย
  • อายุที่มากขึ้น: เมื่ออายุมากขึ้น ผิวหนังจะบางลงและสูญเสียความยืดหยุ่น ทำให้หลอดเลือดฝอยมีความเปราะบางและแตกง่ายขึ้น

  • โรคบางชนิด: โรคบางชนิดอาจทำให้เกิดรอยช้ำได้ง่าย เช่น โรคเบาหวาน โรคแพ้ภูมิตัวเอง (SLE)

เมื่อไหร่ที่ควรกังวล?

ถึงแม้ว่ารอยช้ำส่วนใหญ่จะหายได้เอง แต่หากมีอาการเหล่านี้ ควรรีบปรึกษาแพทย์:

  • รอยช้ำเกิดขึ้นบ่อยและง่ายกว่าปกติ โดยไม่มีสาเหตุที่ชัดเจน
  • รอยช้ำมีขนาดใหญ่ผิดปกติ หรือมีอาการปวด บวม ร้อน บริเวณรอยช้ำ
  • มีเลือดออกผิดปกติร่วมด้วย เช่น เลือดกำเดาไหลบ่อย เลือดออกตามไรฟัน หรือประจำเดือนมามากผิดปกติ
  • มีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย หรือซีด
  • มีประวัติคนในครอบครัวมีภาวะเลือดออกง่าย

การดูแลตัวเองเบื้องต้น:

  • ประคบเย็น: ทันทีที่เกิดรอยช้ำ ให้ประคบเย็นบริเวณนั้นเป็นเวลา 15-20 นาที เพื่อช่วยลดอาการบวมและห้ามเลือด
  • ยกขาสูง: ยกขาสูงกว่าระดับหัวใจ เพื่อช่วยลดอาการบวมและเร่งการไหลเวียนของเลือด
  • พักผ่อน: หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหรือกิจกรรมที่อาจทำให้เกิดการกระทบกระเทือนบริเวณที่เป็นรอยช้ำ
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์: เน้นอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินซีและวิตามินเค เช่น ผักใบเขียว ผลไม้ตระกูลส้ม

การสังเกตอาการผิดปกติของร่างกายอย่างสม่ำเสมอ เป็นสิ่งสำคัญในการดูแลสุขภาพ การมีรอยช้ำเป็นจ้ำๆ ที่ขา อาจเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย แต่ก็อาจเป็นสัญญาณเตือนถึงปัญหาสุขภาพที่ซ่อนอยู่ได้ ดังนั้น หากพบว่ามีอาการผิดปกติ ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้อง