ทําไมท้องซ้ายถึงร้อง

1 การดู

อาการดังกล่าวอาจเกิดจากการเคลื่อนไหวของลำไส้เล็กส่วนต้นขณะย่อยอาหาร โดยเฉพาะหลังรับประทานอาหารที่มีกากใยสูง หรืออาจเป็นเสียงของแก๊สในลำไส้ที่เคลื่อนตัว ควรสังเกตอาการอื่นๆร่วมด้วย หากมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง ควรรีบไปพบแพทย์

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

ท้องซ้ายร้องโครกคราก: เรื่องเล็กหรือสัญญาณเตือน?

อาการท้องร้องเป็นเรื่องปกติที่ใครๆ ก็ต้องเคยเจอ แต่ถ้าท้องร้องข้างซ้ายอย่างเดียวล่ะ? หลายคนอาจสงสัยว่ามันเป็นเรื่องปกติหรือเป็นสัญญาณบอกอะไรบางอย่างกันแน่?

เสียงท้องร้องที่เราได้ยินนั้น ส่วนใหญ่มาจากการทำงานของระบบย่อยอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งการบีบตัวของลำไส้เล็กส่วนต้นเพื่อคลุกเคล้าและเคลื่อนย้ายอาหารที่กำลังย่อยอยู่ ซึ่งเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นตลอดเวลา ไม่ว่าเราจะรู้สึกตัวหรือไม่ก็ตาม

ทำไมต้องเป็นข้างซ้าย?

ในบริเวณช่องท้องด้านซ้าย มีอวัยวะสำคัญที่เกี่ยวข้องกับระบบย่อยอาหารอยู่หลายส่วน เช่น ลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย (Descending Colon) และบางส่วนของลำไส้เล็ก ดังนั้นเสียงที่เกิดขึ้นบริเวณนี้จึงอาจบ่งชี้ถึงกิจกรรมที่เกิดขึ้นในอวัยวะเหล่านี้

ปัจจัยที่ทำให้ท้องซ้ายร้องมากขึ้น:

  • อาหาร: การรับประทานอาหารที่มีกากใยสูง เช่น ผัก ผลไม้ หรือธัญพืชไม่ขัดสี จะกระตุ้นการทำงานของลำไส้ ทำให้เกิดเสียงดังขึ้นได้
  • แก๊สในลำไส้: การสะสมของแก๊สในลำไส้ ไม่ว่าจะเป็นจากการย่อยอาหาร การกลืนอากาศ หรือจากแบคทีเรียในลำไส้ สร้างแก๊ส ก็สามารถทำให้เกิดเสียงดังเมื่อแก๊สเคลื่อนที่ผ่านลำไส้
  • ความหิว: ในช่วงเวลาที่ท้องว่าง ร่างกายจะปล่อยฮอร์โมนที่กระตุ้นการบีบตัวของกระเพาะอาหารและลำไส้ ทำให้เกิดเสียงท้องร้องได้เช่นกัน

เมื่อไหร่ที่ควรสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด:

โดยทั่วไป อาการท้องร้องข้างซ้ายเป็นเรื่องปกติและไม่น่ากังวล แต่หากมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น

  • ปวดท้องอย่างรุนแรง: ปวดบิด เกร็ง หรือปวดตลอดเวลา
  • ท้องเสียหรือท้องผูก: มีการเปลี่ยนแปลงในลักษณะการขับถ่าย
  • มีเลือดในอุจจาระ: อุจจาระมีสีดำ หรือมีเลือดสดปนออกมา
  • คลื่นไส้ อาเจียน: ร่วมกับอาการท้องร้อง
  • มีไข้: อาจบ่งบอกถึงการติดเชื้อ

หากมีอาการเหล่านี้ ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อวินิจฉัยและรับการรักษาที่เหมาะสม เนื่องจากอาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรงกว่า เช่น ลำไส้อักเสบ ลำไส้อุดตัน หรือโรคอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินอาหาร

สรุป:

อาการท้องร้องข้างซ้าย ส่วนใหญ่มักเป็นผลมาจากการทำงานปกติของระบบย่อยอาหาร แต่หากมีอาการอื่นๆ ที่ผิดปกติร่วมด้วย ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อวินิจฉัยและรับการรักษาที่เหมาะสม อย่าปล่อยปละละเลยอาการผิดปกติ เพราะการดูแลสุขภาพเชิงรุกคือสิ่งที่ดีที่สุด