ทำไม iPhone 11 ไม่ขึ้น 5G

ปริศนา 5G: ทำไม iPhone 11 ของคุณจึงเชื่อมต่อไม่ได้

iPhone 11 ถือเป็นสมาร์ทโฟนที่ทรงประสิทธิภาพแม้จะวางจำหน่ายมาสักระยะแล้ว แต่หลายคนอาจประสบปัญหาที่น่าหงุดหงิด นั่นคือการไม่สามารถเชื่อมต่อกับเครือข่าย 5G ได้ แม้ว่าจะมีสัญญาณ 5G อยู่ในบริเวณนั้นก็ตาม บทความนี้จะพาคุณไปค้นหาสาเหตุและวิธีแก้ไขปัญหาที่พบได้บ่อยๆ

iPhone 11 ไม่รองรับ 5G โดยตรง: นี่คือข้อเท็จจริงสำคัญที่ต้องเข้าใจ iPhone 11 รุ่นมาตรฐาน ไม่ได้รับการออกแบบมาเพื่อรองรับเครือข่าย 5G เทคโนโลยี 5G ได้รับการพัฒนาและนำมาใช้หลังจากการเปิดตัว iPhone 11 ดังนั้นจึงไม่มีชิปเซ็ตหรือฮาร์ดแวร์ที่รองรับ การที่คุณเห็นสัญญาณ 5G แต่เชื่อมต่อไม่ได้ ไม่ได้หมายความว่ามีปัญหาที่ซับซ้อนเสมอไป มันคือข้อจำกัดของฮาร์ดแวร์นั่นเอง

อย่าสับสนกับ iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max: ควรระมัดระวังในการตรวจสอบรุ่นของ iPhone เพราะ iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max รองรับเครือข่าย 4G LTE และบางรุ่นอาจรองรับ 5G หากคุณมีรุ่น Pro หรือ Pro Max และยังเชื่อมต่อไม่ได้ ก็ควรตรวจสอบสาเหตุอื่นๆ ต่อไป

ตรวจสอบปัจจัยเพิ่มเติมเหล่านี้ หากคุณใช้ iPhone 11 Pro/Pro Max:

• การตั้งค่าเครือข่าย: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณได้เปิดใช้งานโหมด 5G ในการตั้งค่าเซลลูลาร์หรือข้อมูลมือถือแล้ว เส้นทางการตั้งค่าอาจแตกต่างกันเล็กน้อยขึ้นอยู่กับเวอร์ชัน iOS แต่โดยทั่วไปจะอยู่ภายใต้ “การตั้งค่า” > “เซลลูลาร์” > “ตัวเลือกข้อมูลมือถือ” ดูว่ามีการเลือก “5G อัตโนมัติ” หรือ “5G บน” หรือไม่
• ซิมการ์ด: ตรวจสอบว่าซิมการ์ดของคุณรองรับเครือข่าย 5G ผู้ให้บริการบางรายอาจยังไม่มีซิมการ์ดที่รองรับ 5G คุณอาจต้องติดต่อผู้ให้บริการเพื่อขอเปลี่ยนซิมการ์ดใหม่
• พื้นที่ให้บริการ: ตรวจสอบกับผู้ให้บริการของคุณว่าพื้นที่ที่คุณอยู่มีสัญญาณ 5G ครอบคลุมหรือไม่ สัญญาณ 5G อาจยังไม่ครอบคลุมทั่วถึงในทุกพื้นที่
• การอัปเดตซอฟต์แวร์: ตรวจสอบว่า iOS ของคุณเป็นเวอร์ชันล่าสุดหรือไม่ การอัปเดตอาจมีการปรับปรุงประสิทธิภาพการเชื่อมต่อเครือข่าย
• ปัญหาของผู้ให้บริการ: ในบางกรณี อาจมีปัญหาทางด้านผู้ให้บริการเครือข่าย ลองรีสตาร์ทโทรศัพท์และลองเชื่อมต่อใหม่ หากยังไม่ได้ผล ติดต่อฝ่ายบริการลูกค้าของผู้ให้บริการของคุณ

สรุป: iPhone 11 รุ่นมาตรฐานไม่รองรับ 5G ดังนั้นจึงไม่สามารถเชื่อมต่อได้ หากคุณใช้ iPhone 11 Pro หรือ Pro Max และยังพบปัญหา ควรตรวจสอบรายละเอียดตามที่กล่าวมาข้างต้น และติดต่อผู้ให้บริการเครือข่ายของคุณหากจำเป็น อย่าลืมตรวจสอบรุ่น iPhone ของคุณให้แน่ใจก่อน เพื่อให้การแก้ปัญหาตรงจุดและมีประสิทธิภาพมากที่สุด