เทอร์โมคัปเปิลทำงานอย่างไร

8 การดู

เซนเซอร์อุณหภูมิแบบเทอร์โมคัปเปิลวัดอุณหภูมิโดยอาศัยหลักการซีเบค เมื่อโลหะสองชนิดต่างกันสัมผัสกันที่จุดเชื่อมต่อ และมีความแตกต่างของอุณหภูมิระหว่างจุดเชื่อมต่อนั้นกับจุดอ้างอิง จะเกิดแรงดันไฟฟ้าขึ้น ค่าแรงดันนี้แปรผันตรงกับอุณหภูมิ ทำให้สามารถคำนวณหาค่าอุณหภูมิได้อย่างแม่นยำ

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

เทอร์โมคัปเปิล: ศาสตร์แห่งความแตกต่างที่วัดอุณหภูมิได้อย่างแม่นยำ

เทอร์โมคัปเปิล (Thermocouple) เป็นเซนเซอร์อุณหภูมิที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย เนื่องจากความทนทาน ความแม่นยำ และช่วงการวัดอุณหภูมิที่กว้าง หลักการทำงานของมันอาจดูเรียบง่าย แต่ซ่อนไว้ด้วยปรากฏการณ์ทางฟิสิกส์ที่น่าสนใจ นั่นคือ ปรากฏการณ์ซีเบค (Seebeck effect)

ปรากฏการณ์ซีเบค คือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อโลหะสองชนิดที่แตกต่างกัน ถูกเชื่อมต่อกันที่จุดเชื่อมต่อ (junction) และมีความแตกต่างของอุณหภูมิระหว่างจุดเชื่อมต่อนี้กับจุดอ้างอิง (reference junction) ความแตกต่างของอุณหภูมินี้จะทำให้เกิดศักย์ไฟฟ้า (electromotive force หรือ EMF) หรือแรงดันไฟฟ้า ขึ้นที่จุดเชื่อมต่อ แรงดันไฟฟ้านี้มีความสัมพันธ์เชิงเส้นกับความแตกต่างของอุณหภูมิ นั่นคือ ยิ่งมีความแตกต่างของอุณหภูมิมากเท่าใด แรงดันไฟฟ้าที่เกิดขึ้นก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น

เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น ลองนึกภาพว่าเรามีลวดโลหะสองชนิด เช่น นิกเกิล-โครเมียม (NiCr) และนิกเกิล-อลูมิเนียม (NiAl) นำมาเชื่อมต่อกันที่ปลายด้านหนึ่ง ปลายด้านนี้จะทำหน้าที่เป็นจุดเชื่อมต่อ ส่วนปลายอีกด้านหนึ่งของแต่ละลวดจะเชื่อมต่อกับอุปกรณ์วัด เช่น มัลติมิเตอร์ เมื่อเราให้ความร้อนแก่จุดเชื่อมต่อ ความแตกต่างของอุณหภูมิระหว่างจุดเชื่อมต่อกับปลายอีกด้านหนึ่ง (ซึ่งมีอุณหภูมิอ้างอิงคงที่) จะทำให้เกิดแรงดันไฟฟ้าขึ้น แรงดันไฟฟ้านี้จะถูกวัดโดยอุปกรณ์วัด และสามารถแปลงค่าแรงดันไฟฟ้าเป็นค่าอุณหภูมิได้โดยใช้ตารางหรือสมการสอบเทียบที่เฉพาะเจาะจงกับชนิดของโลหะที่ใช้

ความแม่นยำของการวัดอุณหภูมิด้วยเทอร์โมคัปเปิลขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย รวมถึงชนิดของโลหะที่ใช้ ความเสถียรของอุณหภูมิอ้างอิง และความถูกต้องของอุปกรณ์วัด แต่โดยทั่วไปแล้ว เทอร์โมคัปเปิลสามารถวัดอุณหภูมิได้อย่างแม่นยำในช่วงอุณหภูมิที่กว้าง ตั้งแต่ต่ำกว่าศูนย์องศาเซลเซียสไปจนถึงหลายพันองศาเซลเซียส ขึ้นอยู่กับชนิดของโลหะที่ใช้

เทอร์โมคัปเปิลจึงเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์อย่างยิ่งในหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมอาหาร การผลิต และการวิจัย เนื่องจากความสามารถในการวัดอุณหภูมิได้อย่างรวดเร็ว แม่นยำ และทนทานต่อสภาพแวดล้อมที่รุนแรง ทำให้มันเป็นทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับการใช้งานที่หลากหลาย และเป็นหัวใจสำคัญของการควบคุมและตรวจวัดอุณหภูมิในกระบวนการผลิตและงานวิจัยมากมาย