Google Sheet Vlookup ใช้ยังไง
VLOOKUP ใน Google Sheets ช่วยให้คุณดึงข้อมูลที่สัมพันธ์กันจากตารางอื่นได้อย่างง่ายดาย เพียงระบุค่าที่ต้องการค้นหา ช่วงข้อมูลที่ต้องการค้นหา หมายเลขคอลัมน์ที่ต้องการดึงข้อมูล และเลือกว่าจะให้หาค่าที่ตรงกันแบบเป๊ะๆ หรือแบบใกล้เคียง เท่านี้คุณก็จะได้ข้อมูลที่ต้องการอย่างรวดเร็วและแม่นยำ
ไขความลับ VLOOKUP ใน Google Sheets: ค้นหา ดึงข้อมูล อย่างมืออาชีพ
VLOOKUP คือหนึ่งในฟังก์ชันที่ทรงพลังที่สุดใน Google Sheets ที่ช่วยให้คุณสามารถเชื่อมโยงข้อมูลจากตารางต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย ไม่ว่าจะเป็นการดึงชื่อลูกค้าจากรหัสลูกค้า, การค้นหาราคาจากชื่อสินค้า, หรือการหาข้อมูลอื่นๆ ที่มีความสัมพันธ์กัน VLOOKUP ช่วยให้การจัดการข้อมูลของคุณเป็นระบบ ระเบียบ และประหยัดเวลาอย่างมาก
บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจ VLOOKUP ใน Google Sheets อย่างละเอียด โดยเน้นการใช้งานจริง และเทคนิคที่ช่วยให้คุณใช้ฟังก์ชันนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
VLOOKUP คืออะไร?
VLOOKUP ย่อมาจาก Vertical Lookup ซึ่งหมายถึง การค้นหาข้อมูลในแนวตั้ง ฟังก์ชันนี้จะค้นหาค่าที่ระบุในคอลัมน์แรกของช่วงข้อมูล (Range) ที่กำหนด จากนั้นจะดึงข้อมูลจากคอลัมน์ที่ต้องการในแถวเดียวกันออกมา
ไวยากรณ์ของ VLOOKUP
VLOOKUP(search_key, range, index, [is_sorted])
search_key
: ค่าที่คุณต้องการค้นหาในคอลัมน์แรกของช่วงข้อมูล (Range) ค่านี้อาจเป็นข้อความ, ตัวเลข, หรือวันที่range
: ช่วงข้อมูล (Range) ที่ VLOOKUP จะค้นหา โดยคอลัมน์แรกของ Range นี้จะต้องเป็นคอลัมน์ที่ใช้ค้นหาsearch_key
index
: หมายเลขคอลัมน์ (Column Index) ใน Range ที่คุณต้องการดึงข้อมูลออกมา โดยคอลัมน์แรกของ Range คือคอลัมน์ที่ 1is_sorted
: (ทางเลือก) ระบุว่าคอลัมน์แรกของ Range ถูกเรียงลำดับหรือไม่ หากใส่TRUE
(หรือละเว้น) VLOOKUP จะหาค่าที่ใกล้เคียงที่สุด หากใส่FALSE
VLOOKUP จะหาค่าที่ตรงกันเป๊ะๆ (Exact Match)
ตัวอย่างการใช้งาน VLOOKUP
สมมติว่าคุณมีสอง Sheet ใน Google Sheets:
- Sheet1 (ข้อมูลลูกค้า): มีคอลัมน์
รหัสลูกค้า
,ชื่อลูกค้า
,เบอร์โทรศัพท์
- Sheet2 (รายการสั่งซื้อ): มีคอลัมน์
รหัสลูกค้า
,วันที่สั่งซื้อ
,จำนวนเงิน
คุณต้องการดึง ชื่อลูกค้า
จาก Sheet1 ไปใส่ใน Sheet2 โดยอิงจาก รหัสลูกค้า
-
ใน Sheet2 เลือกเซลล์ที่คุณต้องการแสดง
ชื่อลูกค้า
-
พิมพ์สูตร:
=VLOOKUP(A2, Sheet1!A:C, 2, FALSE)
A2
คือรหัสลูกค้า
ใน Sheet2 (ค่าsearch_key
)Sheet1!A:C
คือช่วงข้อมูลใน Sheet1 ที่ครอบคลุมคอลัมน์รหัสลูกค้า
,ชื่อลูกค้า
,เบอร์โทรศัพท์
(Range)2
คือหมายเลขคอลัมน์ของชื่อลูกค้า
ใน Sheet1 (คอลัมน์ที่สองของ Range) (Index)FALSE
หมายถึงต้องการหาค่าที่ตรงกันเป๊ะๆ (Exact Match)
เคล็ดลับและเทคนิค VLOOKUP:
- การใช้
$
เพื่อตรึงเซลล์ (Absolute Reference): เมื่อคัดลอกสูตร VLOOKUP ลงในเซลล์อื่นๆ อาจทำให้ Range เลื่อนตามไปด้วย การใช้$
ช่วยตรึงเซลล์ไม่ให้เลื่อน เช่นSheet1!$A$1:$C$100
- การจัดการข้อผิดพลาด: หาก VLOOKUP หา
search_key
ไม่เจอ จะแสดง#N/A
คุณสามารถใช้IFERROR
เพื่อจัดการข้อผิดพลาดนี้ได้ เช่น=IFERROR(VLOOKUP(A2, Sheet1!A:C, 2, FALSE), "ไม่พบข้อมูล")
- การใช้ VLOOKUP กับหลายเงื่อนไข: VLOOKUP ไม่รองรับการค้นหาด้วยหลายเงื่อนไขโดยตรง คุณสามารถใช้เทคนิคการสร้างคอลัมน์ “Key” ที่รวมข้อมูลหลายเงื่อนไขเข้าด้วยกัน แล้วใช้ Key นั้นเป็น
search_key
- พิจารณา XLOOKUP: Google Sheets มีฟังก์ชันใหม่ที่เรียกว่า
XLOOKUP
ซึ่งมีความยืดหยุ่นและใช้งานง่ายกว่า VLOOKUP หากคุณเพิ่งเริ่มต้น ศึกษา XLOOKUP อาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
ข้อควรระวัง:
- VLOOKUP ค้นหาเฉพาะในคอลัมน์แรกของ Range เท่านั้น หากข้อมูลที่คุณต้องการค้นหาอยู่ในคอลัมน์อื่น คุณจะต้องปรับ Range ให้เหมาะสม
- VLOOKUP จะคืนค่าแรกที่เจอ หากมีค่า
search_key
ซ้ำกันใน Range
สรุป:
VLOOKUP เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังสำหรับการดึงข้อมูลใน Google Sheets การทำความเข้าใจหลักการทำงานและเทคนิคต่างๆ จะช่วยให้คุณใช้งานฟังก์ชันนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และจัดการข้อมูลของคุณได้อย่างมืออาชีพ ลองฝึกฝนและนำ VLOOKUP ไปประยุกต์ใช้กับงานของคุณ แล้วคุณจะพบว่ามันเป็นตัวช่วยที่ขาดไม่ได้เลยทีเดียว
#Google Sheet#ค้นหาข้อมูล#ชีท Vlookupข้อเสนอแนะสำหรับคำตอบ:
ขอบคุณที่ให้ข้อเสนอแนะ! ข้อเสนอแนะของคุณมีความสำคัญต่อการปรับปรุงคำตอบในอนาคต