ถ่ายเหลวกี่ครั้งเรียกว่าท้องเสีย

0 การดู

ท้องเสียคือการถ่ายอุจจาระเหลวหรือเป็นน้ำ 3 ครั้งหรือมากกว่าในหนึ่งวัน มักเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส หรือพยาธิที่ระบบทางเดินอาหาร

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

ท้องเสีย: มากกว่าแค่จำนวนครั้ง การทำความเข้าใจสัญญาณเตือนและสาเหตุที่ซ่อนอยู่

หลายคนคงเคยเจอกับอาการ “ท้องเสีย” แต่รู้หรือไม่ว่าการถ่ายเหลวกี่ครั้งถึงจะเรียกว่าท้องเสียอย่างเป็นทางการ? คำตอบง่ายๆ คือ การถ่ายอุจจาระเหลวหรือเป็นน้ำ 3 ครั้งขึ้นไปภายใน 24 ชั่วโมง แต่จริงๆ แล้ว อาการท้องเสียมีความซับซ้อนกว่านั้นมาก การทำความเข้าใจถึงลักษณะอาการ สาเหตุ และสัญญาณเตือนต่างๆ จะช่วยให้เรารับมือกับปัญหานี้ได้อย่างถูกต้องและทันท่วงที

ทำไมแค่จำนวนครั้งถึงไม่พอ?

ถึงแม้การถ่ายเหลว 3 ครั้งขึ้นไปจะเป็นเกณฑ์หลักในการวินิจฉัย แต่การพิจารณาอาการอื่นๆ ร่วมด้วยก็สำคัญไม่แพ้กัน เพราะบางคนอาจมีการขับถ่ายที่เปลี่ยนแปลงไปจากปกติเพียงเล็กน้อย แต่กลับมีอาการอื่นๆ ที่บ่งบอกถึงความผิดปกติของระบบทางเดินอาหารได้ เช่น:

  • ลักษณะอุจจาระ: นอกจากความเหลวแล้ว สี กลิ่น และส่วนประกอบอื่นๆ ที่ปะปนมากับอุจจาระ เช่น เลือด มูก หรืออาหารที่ย่อยไม่ได้ ก็เป็นข้อมูลสำคัญที่แพทย์ใช้ในการวินิจฉัย
  • อาการร่วม: ปวดท้อง, คลื่นไส้, อาเจียน, มีไข้, อ่อนเพลีย, ปวดเมื่อยตามตัว ล้วนเป็นอาการที่มักพบร่วมกับอาการท้องเสีย และอาจบ่งบอกถึงสาเหตุของอาการได้
  • ระยะเวลา: อาการท้องเสียที่เกิดขึ้นเพียง 1-2 วันมักไม่น่ากังวล แต่หากอาการต่อเนื่องนานกว่านั้น หรือมีอาการรุนแรงขึ้น ควรปรึกษาแพทย์

เบื้องหลังอาการท้องเสีย: สาเหตุที่คาดไม่ถึง

สาเหตุหลักของอาการท้องเสียที่เรารู้จักกันดีคือการติดเชื้อจากแบคทีเรีย ไวรัส หรือปรสิต ที่ปนเปื้อนมากับอาหารและน้ำดื่ม อย่างไรก็ตาม ยังมีสาเหตุอื่นๆ อีกมากมายที่อาจเป็นตัวการทำให้เกิดอาการท้องเสีย:

  • ยาบางชนิด: ยาปฏิชีวนะ (Antibiotics) มักเป็นสาเหตุหลัก เพราะยาจะฆ่าแบคทีเรียในลำไส้ ทำให้สมดุลของแบคทีเรียเสียไปและเกิดอาการท้องเสียตามมา นอกจากนี้ ยาลดกรดที่มีส่วนผสมของแมกนีเซียมก็อาจทำให้ท้องเสียได้เช่นกัน
  • ภาวะแพ้อาหาร: การแพ้แลคโตส (Lactose intolerance) หรือกลูเตน (Gluten intolerance) เป็นตัวอย่างที่พบบ่อย เมื่อร่างกายไม่สามารถย่อยอาหารเหล่านี้ได้ ก็จะเกิดอาการท้องเสียและอาการอื่นๆ ตามมา
  • โรคลำไส้อักเสบ (Inflammatory Bowel Disease – IBD): โรค Crohn’s disease และ ulcerative colitis เป็นโรคเรื้อรังที่ทำให้เกิดการอักเสบในลำไส้ ทำให้มีอาการท้องเสียเรื้อรังร่วมกับอาการอื่นๆ
  • ความเครียด: ความเครียดสามารถส่งผลกระทบต่อระบบทางเดินอาหาร ทำให้เกิดอาการท้องเสียหรือท้องผูกได้
  • การเดินทาง: การเดินทางไปยังสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย อาจทำให้ร่างกายได้รับเชื้อโรคใหม่ๆ หรือต้องเผชิญกับอาหารที่ไม่คุ้นเคย ทำให้เกิดอาการท้องเสียที่เรียกว่า “ท้องเสียของนักท่องเที่ยว” (Traveler’s Diarrhea)

เมื่อไหร่ที่ควรพบแพทย์?

ถึงแม้ว่าอาการท้องเสียส่วนใหญ่จะหายได้เองภายในไม่กี่วัน แต่มีบางกรณีที่ควรปรึกษาแพทย์ทันที:

  • มีอาการท้องเสียรุนแรง ถ่ายเหลวบ่อยครั้ง และมีอาการขาดน้ำ (เช่น ปากแห้ง, ปัสสาวะน้อย, อ่อนเพลีย)
  • มีเลือดปนในอุจจาระ
  • มีไข้สูง
  • ปวดท้องรุนแรง
  • มีอาการท้องเสียต่อเนื่องนานกว่า 2-3 วัน
  • เป็นผู้สูงอายุ, เด็กเล็ก, หรือมีโรคประจำตัว

สรุป

อาการท้องเสียไม่ได้มีแค่เรื่องจำนวนครั้งของการถ่ายอุจจาระเท่านั้น การสังเกตลักษณะอุจจาระ อาการร่วม สาเหตุที่อาจเป็นไปได้ และระยะเวลาของอาการ จะช่วยให้เราประเมินสถานการณ์และรับมือกับอาการท้องเสียได้อย่างเหมาะสม หากมีข้อสงสัยหรืออาการไม่ดีขึ้น ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้อง